คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 713/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้การจัดให้มีการเล่นการพนันเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน และการเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ในการเล่นการพนันแทงผลการแข่งขันฟุตบอลทางโทรทัศน์ อาจเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันได้ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพอันทำให้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำบรรยายฟ้องนั้น ปรากฏว่าโจทก์บรรยายการกระทำผิดของจำเลยรวมกันมาในข้อเดียวว่าจำเลยเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันและเข้าเล่นการพนันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้เพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตนโดยกระทำผิดในวันเวลาและสถานที่เดียวกัน รวมทั้งวิธีการในการจัดให้มีการเล่นและวิธีการเป็นเจ้ามือก็เหมือนกัน ทั้งไม่ได้ระบุด้วยว่าเป็นการกระทำที่ต่างกรรมกัน ดังนี้ แม้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดทั้งฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตนและฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ด้วยก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามคำบรรยายฟ้องดังกล่าวก็บ่งชี้ว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาอันเดียวกันคือรับพนันแทงผลการแข่งขันฟุตบอลในครั้งเกิดเหตุนั่นเอง การกระทำของจำเลยในคำบรรยายฟ้องของโจทก์แต่ละข้อจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษกักขังจำเลยแทนโทษจำคุก ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเพียงว่าให้ริบของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งไม่ใช่เป็นการพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ตรี ซึ่งตามมาตรา 221 ผู้พิพากษาที่พิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้เฉพาะในคดีซึ่งต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 218, 219 และ 220 เท่านั้น จะอนุญาตให้ฎีกาในคดีซึ่งต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 219 ตรี ไม่ได้ ดังนั้น ที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในข้อที่รอการลงโทษอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงมาด้วยจึงเป็นการมิชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4, 4 ทวิ, 5, 6, 10, 12, 15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ริบของกลาง และจ่ายเงินสินบนแก่ผู้นำจับ
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4, 4 ทวิ, 5, 6, 10, 12 (ที่ถูกมาตรา 12 (2)), 15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่น จำคุก 3 เดือน ฐานเข้าเล่นเป็นเจ้ามือ จำคุก 3 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 1 เดือน 15 วัน รวม 2 กระทง จำคุก 2 เดือน 30 วัน แต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า การกระทำของจำเลยตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันและเข้าเล่นเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า แม้การจัดให้มีการเล่นการพนันเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน และการเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ในการเล่นการพนันแทงผลการแข่งขันฟุตบอลทางโทรทัศน์ อาจเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันได้ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องในคดีนี้ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ อันทำให้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำบรรยายฟ้องนั้น ปรากฏว่าโจทก์บรรยายการกระทำผิดของจำเลยรวมกันมาในข้อเดียวกันว่าจำเลยเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันและเข้าเล่นพนันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้เพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตนโดยกระทำผิดในวันเวลาและสถานที่เดียวกัน รวมทั้งวิธีการในการจัดให้มีการเล่นและวิธีการเป็นเจ้ามือก็เหมือนกัน ทั้งไม่ได้ระบุด้วยว่าเป็นการกระทำที่ต่างกรรมกัน ดังนี้ แม้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดทั้งฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตนและฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ด้วยก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามคำบรรยายฟ้องดังกล่าวก็บ่งชี้ว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาอันเดียวกันคือ รับพนันแทงผลการแข่งขันฟุตบอลในครั้งเกิดเหตุนั่นเอง การกระทำของจำเลยในคำบรรยายฟ้องของโจทก์แต่ละข้อจึงเป็นเพียงการกระทำกรรมเดียวกัน มิใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน คงลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุด การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง เป็นว่าให้ลงโทษจำเลยเพียงกรรมเดียวในความผิดฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษกักขังจำเลยแทนโทษจำคุก ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้ไขเพียงว่า ให้ริบของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งไม่ใช่เป็นการพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรี ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ผู้พิพากษาที่พิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้เฉพาะในคดีซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218, 219 และ 220 เท่านั้น จะอนุญาตให้ฎีกาในคดีซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรี ไม่ได้ ดังนั้น ที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาข้อที่ขอให้รอการลงโทษอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงมาด้วย จึงเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลย”
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว ให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ จำคุก 3 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงลงโทษจำคุก 1 เดือน 15 วัน โทษจำคุกให้เปลี่ยนเป็นกักขังแทน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share