แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามใบคู่มือจดทะเบียนรถจักรยานยนต์มีชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของ ซึ่งตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 17/1 วรรคสอง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้มีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียนรถยนต์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ผู้ร้องจึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว แต่พฤติการณ์การใช้รถจักรยานยนต์ของกลางของ น. แสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางมาเพื่อประโยชน์ของ น. บุตรของผู้ร้องเป็นสำคัญ เห็นได้จากการที่ น. ครอบครองใช้ขับไปทำงานอยู่เป็นประจำ และวันเกิดเหตุช่วงเวลากลางคืนยังขับรถจักรยานยนต์ของกลางไปบ้าน ว. เพื่อนของ น. โดยไม่ได้ขออนุญาตผู้ร้อง กุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางถูกเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานซึ่งตั้งอยู่ที่ห้องโถง บุคคลทุกคนในครอบครัวต่างก็รับรู้ถึงสถานที่เก็บกุญแจรถจักรยานยนต์ และอยู่ในวิสัยที่นำไปใช้ได้ แสดงว่าผู้ร้องมิได้เข้มงวดในการอนุญาตให้ น. นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้อย่างแท้จริง และการที่ น. สามารถนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยไม่ขออนุญาตเช่นนี้ได้ ก็ถือได้ว่าผู้ร้องอนุญาตโดยปริยายให้ น. นำรถจักรยานยนต์ไปใช้ได้ตลอดเวลา โดยไม่คำนึงถึงว่า น. จะนำไปใช้ในกิจการใดหรือจะอนุญาตให้ผู้อื่นนำไปใช้ต่อด้วยหรือไม่ ถือได้ว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยคดีนี้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง ทั้งตามพฤติการณ์ผู้ร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางโดยมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อประโยชน์ให้ น. บุตรของผู้ร้องสามารถนำรถจักรยานยนต์ของกลางกลับไปใช้ได้เท่านั้น อันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตอีกด้วย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 42, 64 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (8), 142, 154, 160 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 และสั่งริบรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน 1 กง 409 ภูเก็ต ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้สั่งคืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
จำเลยไม่คัดค้าน
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งคืนรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน 1 กง 409 ภูเก็ต ของกลาง ให้แก่นางกฤษณา ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหาขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นและขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ พร้อมยึดรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน 1 กง 409 ภูเก็ต ไว้เป็นของกลาง ต่อมาโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวและขอให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยและริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องประการแรกว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางแท้จริงหรือไม่ เห็นว่า ตามใบคู่มือจดทะเบียนรถจักรยานยนต์มีชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของในทะเบียน ซึ่งตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 17/1 วรรคสอง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้มีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียนรถยนต์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ผู้ร้องจึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว ส่วนโจทก์นำสืบว่า จำเลยถูกจับกุมข้อหาขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่นพร้อมรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน 1 กง 409 ภูเก็ต ของกลาง โดยมิได้นำสืบหักล้างในประเด็นตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวแต่อย่างใด จึงฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน 1 กง 409 ภูเก็ต ของกลาง และมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง ฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องต่อไปว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า พฤติการณ์ในการใช้รถจักรยานยนต์ของกลางตามคำเบิกความของนายนัฐสิทธิ์แสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางดังกล่าวมาเพื่อประโยชน์ของนายนัฐสิทธิ์บุตรของผู้ร้องเป็นสำคัญ เห็นได้จากการที่นายนัฐสิทธิ์ครอบครองใช้ขับไปทำงานอยู่เป็นประจำ และวันเกิดเหตุ ช่วงเวลากลางคืนยังขับรถจักรยานยนต์ของกลางไปบ้านนายวิสุทธิ์เพื่อนของนายนัฐสิทธิ์โดยไม่ได้ขออนุญาตผู้ร้อง นอกจากนั้นผู้ร้องเบิกความว่า รถจักรยานยนต์ของกลางใช้ในครอบครัว เช่นขับไปจ่ายตลาด ทำธุระต่าง ๆ โดยเมื่อใช้แล้วจะเก็บกุญแจรถจักรยานยนต์ไว้ที่ลิ้นชักโต๊ะทำงานซึ่งตั้งอยู่ที่ห้องโถง หากคนในครอบครัวของผู้ร้องคนใดต้องการใช้ต้องขออนุญาตผู้ร้องก่อน ดังนี้ กุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางถูกเก็บไว้ในบริเวณที่สามารถหาพบได้ง่าย และการเข้าออกบริเวณดังกล่าวทำได้อย่างสะดวก นอกจากนั้นบุคคลทุกคนในครอบครัวต่างก็รับรู้ถึงสถานที่เก็บกุญแจรถจักรยานยนต์ และอยู่ในวิสัยที่นำไปใช้ได้ โดยในวันเกิดเหตุนายนัฐสิทธิ์ก็ใช้กุญแจรถจักรยานยนต์ดังกล่าวขับรถจักรยานยนต์ของกลางไปบ้านนายวิสุทธิ์ในเวลากลางคืนโดยไม่ขออนุญาตผู้ร้อง ต่อมาผู้ร้องคงเพียงแค่โทรศัพท์ไปสอบถามนายนัฐสิทธิ์ว่าอยู่ที่ใด แต่มิได้ตำหนิเรื่องที่นายนัฐสิทธิ์นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ในช่วงเวลากลางคืนเช่นนั้นแต่อย่างใด แสดงว่า ผู้ร้องมิได้เข้มงวดในการอนุญาตให้นายนัฐสิทธิ์นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้อย่างแท้จริง และการที่นายนัฐสิทธิ์สามารถนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยไม่ขออนุญาตเช่นนี้ได้ ก็ถือได้ว่าผู้ร้องอนุญาตโดยปริยายให้นายนัฐสิทธิ์นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ได้ตลอดเวลา โดยมิได้คำนึงถึงว่านายนัฐสิทธิ์จะนำไปใช้ในกิจการใด หรือจะอนุญาตให้ผู้อื่นนำไปใช้ต่อด้วยหรือไม่ เป็นการปล่อยปละละเลยจนทำให้นายนัฐสิทธิ์สามารถนำรถจักรยานยนต์ของกลางดังกล่าวไปให้จำเลยใช้กระทำความผิดคดีนี้ได้ ถือได้ว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยคดีนี้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง ทั้งตามพฤติการณ์ ผู้ร้องขอคืนของกลางโดยมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อประโยชน์ให้นายนัฐสิทธิ์บุตรของผู้ร้องสามารถนำรถจักรยานยนต์ของกลางกลับไปใช้ได้เท่านั้น อันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตอีกด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน