คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7115/2552

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์แล้วนัดฟังคำพิพากษา จึงไม่มีวันชี้สองสถานและวันสืบพยาน จำเลยที่ 3 ย่อมจะยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การนอกจากที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยที่ 3 แก้ไขคำให้การได้แล้วจะเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 180

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,368,655,254.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 1,600,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คำร้องไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ให้ยกคำร้องจำเลยทั้งห้าค่าคำร้องเป็นพับ
ก่อนสืบพยานโจทก์ คู่ความต่างแถลงร่วมกันว่าผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินพิพาทในคดีนี้คือบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.8/2543 โจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามตั๋วแลกเงินพิพาททั้งแปดฉบับซึ่งเป็นมูลหนี้ในคดีนี้ต่อศาลล้มละลายกลางในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.8/2543 รายละเอียดปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 6 สิงหาคม 2544 และวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2545 ต่อมาวันที่ 29 สิงหาคม 2545 จำเลยทั้งห้าแถลงรับข้อเท็จจริงตามฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 ได้นำตั๋วแลกเงินพิพาททั้งแปดฉบับซึ่งมีบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทยจำกัด (มหาชน) เป็นผู้สั่งจ่ายมาทำสัญญาขายลดให้แก่โจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ทำสัญญาค้ำประกัน รายละเอียดปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 29 สิงหาคม 2545 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งห้ายอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องของโจทก์แล้ว คดีไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลยทั้งห้าต่อไป จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยทั้งห้าและนัดฟังคำพิพากษา ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2545
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,368,655,254.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ในต้นเงิน 1,600,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันฟ้องวันที่ 31 กรกฎาคม 2543)จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้หากโจทก์ได้รับชำระหนี้จากบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ออกตั๋วแลกเงินพิพาททั้งแปดฉบับตามคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของศาลล้มละลายกลาง ในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.8/2543 ไปเพียงใด สิทธิที่โจทก์จะได้รับชำระหนี้จากจำเลยทั้งห้าในคดีนี้ให้ลดลงเพียงนั้น กับให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 900,000 บาท
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้แก้ไขคำให้การ คำสั่งงดสืบพยานและคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ อนุญาตให้จำเลยที่ 1, ที่ 2, ที่ 4 และที่ 5 แก้ไขคำให้การตามคำร้อง และอนุญาตให้จำเลยที่ 3 แก้ไขคำให้การโดยเพิ่มเติมเฉพาะข้อ 1.2.3 ตามคำร้อง ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่งดสืบพยาน และยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานต่อไปเฉพาะประเด็นตามคำให้การที่แก้ไขใหม่ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 จำนวน 200,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลนอกจากนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้สัญญาว่า จะผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้เมื่อบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ไม่ชำระหนี้สินเชื่อ โจทก์และบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันอำพรางสินเชื่อโดยใช้ชื่อของจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับสินเชื่อแทนบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 3 มีฐานะเป็นตัวแทนเชิด จึงไม่ต้องรับผิดชอบสินเชื่อ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดในสินเชื่อรายนี้ หนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินยังไม่ถึงกำหนดชำระ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดตกเป็นโมฆะ โจทก์ในฐานะผู้ทรงยังไม่ได้ทำคำบอกกล่าวตามกฎหมายเรียกร้องต่อผู้สั่งจ่ายและผู้รับสลักหลัง รวมถึงจำเลยที่ 3 ภายใน 4 วัน นั้นเป็นการขอแก้ไขคำให้การโดยยกข้อเท็จจริงขึ้นเป็นข้อต่อสู้ใหม่และเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้ออ้างเพื่อหักล้างข้อหาตามคำฟ้องโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 179 (3) เมื่อปรากฏว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์แล้วนัดฟังคำพิพากษา จึงไม่มีวันชี้สองสถานและวันสืบพยาน จำเลยที่ 3 ย่อมจะยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การในวันที่ 26 สิงหาคม 2545 ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยที่ 3 นี้ นอกจากที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยที่ 3 แก้ไขคำให้การได้แล้วจะเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ กรณีมีเหตุที่จะอนุญาตให้จำเลยที่ 3 แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การได้ตามคำร้องของจำเลยที่ 3 ดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยเพียงบางส่วน ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า อนุญาตให้จำเลยที่ 3 แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การตามคำร้องลงวันที่ 26 สิงหาคม 2545 ทั้งฉบับ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share