แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นบริษัทจำกัด ประกอบกิจการซื้อ ขาย สั่งเข้ามา และส่งออกไป รวมทั้งการซื้อขายในประเทศซึ่ง สินค้าทุกชนิด ซึ่งรวมทั้งเคมีภัณฑ์ทุกชนิด ส่วนจำเลยเป็นบริษัทจำกัด ประกอบกิจการจัดตั้งโรงงานผลิตสี น้ำมันวานิช แลคเกอร์ หมึกพิมพ์ทุกชนิด และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ที่กล่าวมาแล้ว ทุกชนิดเพื่อจำหน่ายและเพื่อขายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ การที่จำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์ครั้งละมาก ๆ และเป็นเงินจำนวนมากแสดงว่าจำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์ไปเพื่อผลิตสี น้ำมันวานิช แลคเกอร์ หมึกพิมพ์ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อจำหน่ายและเพื่อขาย มิใช้ซื้อไปเพื่อใช้เป็นการเฉพาะภายในบริษัทจำเลย กรณีย่อมตกอยู่ในบังคับของ ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ตอนท้ายที่ว่าเว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง อายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์ย่อมมีกำหนด 5 ปี มิใช่ 2 ปี
ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ซึ่งเป็นการแปลกฎหมายคลาดเคลื่อน จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปลายปี ๒๕๓๗ จนถึงปลายปี ๒๕๓๘ จำเลยสั่งซื้อสินค้าเคมีภัณฑ์ ๒๗ ครั้ง เป็นเงิน ๑,๐๔๐,๘๐๑.๘๔ บาท ต่อมาเดือนสิงหาคม ๒๕๓๙ จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ แต่จำเลยมิได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าสินค้าดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง ๕๑๔,๘๕๑.๒๙ บาท
จำเลยให้การว่า คำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายและแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและเหตุผลแห่งมูลหนี้ว่าเป็นอย่างไร ไม่ได้บรรยายรายละเอียดของสินค้าแต่ละรายการว่าเป็นสินค้าประเภทอะไร มีการสั่งซื้อเมื่อใด ราคาเท่าใด ส่งมอบกันอย่างไร จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่เคยได้รับสินค้าตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง จำเลยไม่เคยทำหนังสือ รับสภาพหนี้ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๖ ไม่ใช่หนังสือรับสภาพหนี้ เป็นเพียงหนังสือที่จำเลยชี้แจงสถานการณ์และสถานภาพของจำเลยต่อโจทก์เท่านั้น หนี้ตามฟ้องโจทก์ไม่ถูกต้อง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี เนื่องจากโจทก์จำเลยไม่เคยตกลงให้มีการเรียกดอกเบี้ยกันได้ โจทก์ไม่นำคดีมาฟ้องภายในกำหนดเวลา ๒ ปี นับแต่ วันครบกำหนดชำระเงินค่าสินค้าในแต่ละครั้ง ฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๔ (๑) ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์ยัง ไม่ขาดอายุความ เพราะจำเลยซื้อสินค้าเคมีภัณฑ์จากโจทก์เพื่อนำไปใช้ในการผลิตสินค้าของจำเลยอันเป็นกิจการตามวัตถุประสงค์ ของจำเลย จึงมีอายุความ ๕ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๓ (๕) มิใช่อายุความ ๒ ปี ตามมาตรา ๑๙๓/๓๔ (๑) เห็นว่า มาตรา ๑๙๓/๓๔ บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความสองปี (๑) ผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรม ผู้ประกอบหัตถกรรม
เรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ ค่าการงานที่ได้ทำหรือค่าดูแลกิจการของผู้อื่น รวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไป เว้นแต่เป็นกรณีที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง” ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบปรากฏว่าโจทก์เป็นบริษัทจำกัด ประกอบกิจการซื้อ ขาย สั่งเข้ามา และส่งออกไป รวมทั้งการซื้อขายในประเทศซึ่งสินค้าทุกชนิด ซึ่งรวมทั้งเคมีภัณฑ์ทุกชนิด ส่วนจำเลยเป็นบริษัทจำกัด ประกอบกิจการจัดตั้งโรงงานผลิตสี น้ำมันวานิช แลคเกอร์ หมึกพิมพ์ทุกชนิด และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ที่กล่าว มาแล้วทุกชนิดเพื่อจำหน่ายและเพื่อขายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ และตามใบกำกับสินค้า ปรากฏว่าระหว่างวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ ถึงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๓๘ จำเลยซื้อสินค้าไปจากโจทก์ครั้งละ ๑๒,๐๐๐ กิโลกรัม รวม ๑๖ ครั้ง รวมค่าสินค้าที่จำเลยซื้อไปจากโจทก์ทั้งหมด ๒๗ ครั้ง เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๐๔๐,๘๐๑.๘๔ บาท จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑.๒๕ ต่อเดือน (เท่ากับร้อยละ ๑๕ ต่อปี) นับแต่วันผิดนัดชำระค่าสินค้าแต่ละรายการ คิดถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย ๕๑๔,๘๕๑.๒๙ บาท รวมเป็นเงิน ๑,๕๕๕,๖๕๓.๑๓ บาท จำเลยไม่สืบพยานหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบ การที่จำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์ครั้งละมาก ๆ และเป็นเงินจำนวนมาก แสดงว่าจำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์ไปเพื่อผลิตสี น้ำมันวานิช แลคเกอร์ หมึกพิมพ์ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อจำหน่ายและเพื่อขาย มิใช่ซื้อไปเพื่อใช้เป็นการเฉพาะภายในบริษัทจำเลย กรณีย่อมตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๙๓/๓๔ (๑) ตอนท้ายที่ว่าเว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง และอายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์ก็ย่อมมีกำหนด ๕ ปี มิใช่ ๒ ปี ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๙/๒๕๔๐ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๐ คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ กรณีดังกล่าวเป็นการแปลกฎหมายคลาดเคลื่อนของศาลล่างทั้งสอง จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคสองฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน ๑,๕๕๕,๖๕๓.๑๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๑,๐๔๐,๘๐๑.๘๔ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์