แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ต้องแยกพิจารณาโทษแต่ละกระทงเป็นเกณฑ์ คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 5 ปีรวมจำคุก 10 ปี แม้จะนำโทษจำคุก 3 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอื่นมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ เป็นจำคุก 10 ปี 3 เดือนก็เป็นกรณีที่คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
จำเลยฎีกาว่า พยานบุคคลของโจทก์ที่นำสืบขัดแย้งกับพยานวัตถุและพยานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยส่งมอบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1 เม็ด ราคา 120 บาทให้แก่สายลับไปโดยสายลับยังไม่ได้ชำระราคาเมทแอมเฟตามีนแก่จำเลย เจ้าพนักงานตำรวจก็จับกุมจำเลย เป็นฎีกาที่จำเลยโต้แย้งคัดค้านการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ในข้อที่ว่าจำเลยได้รับชำระราคาค่าเมทแอมเฟตามีนแล้วหรือยัง เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ขอให้ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสี่ เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีกเช่นกัน
การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ลักษณะของการกระทำต่างกัน เป็นการกระทำต่างขั้นตอนกันสามารถแยกการกระทำแต่ละอย่างต่างหากจากกันได้ ทั้งนี้พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ไม่ได้นิยามความหมายของคำว่า จำหน่าย ให้มีความหมายรวมถึงการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วยดังเช่นที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4 ซึ่งแสดงว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มุ่งประสงค์จะลงโทษการมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษทั้งสองกรณี
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยก็มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกระทงหนึ่งแล้ว เมื่อจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1 เม็ด จำเลยก็มีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอีกกระทงหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 2 เม็ด น้ำหนัก 0.16 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว 1 เม็ด ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา 120 บาท โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2538 ให้ลงโทษจำคุก 3 เดือน โทษจำคุกให้รอไว้ 2 ปี ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2983/2538 ภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษจำเลยกลับมาทำความผิดในคดีนี้อีก ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 91 และริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง กับคืนธนบัตร 120 บาท ที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าพนักงาน บวกโทษจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2983/2538 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 5 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี บวกโทษจำคุก 3 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2983/2538 เข้ากับโทษในคดีนี้เป็นจำคุกจำเลย 10 ปี 3 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง คืนธนบัตร 120 บาท ที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าพนักงาน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีหรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับแต่โทษจำคุกไม่เกินห้าปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง โดยแยกพิจารณาโทษแต่ละกระทงเป็นเกณฑ์ คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 5 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี แม้จะนำโทษจำคุก 3 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2983/2538 ของศาลชั้นต้นมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ เป็นจำคุก10 ปี 3 เดือน ก็เป็นกรณีที่คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ที่จำเลยฎีกาในทำนองว่าพยานบุคคลของโจทก์ที่นำสืบขัดแย้งกับพยานวัตถุ พยานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยส่งมอบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1 เม็ด ราคา 120 บาท ให้แก่สายลับไปโดยสายลับยังไม่ได้ชำระราคาเมทแอมเฟตามีนแก่จำเลย เจ้าพนักงานตำรวจก็จับกุมจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เป็นฎีกาที่จำเลยโต้แย้งคัดค้านการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ในข้อที่ว่าจำเลยได้รับชำระราคาค่าเมทแอมเฟตามีนแล้วหรือยัง เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยต้องการว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาข้อที่จำเลยฎีกาต่อไปว่าจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษขอให้ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาล ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีกเช่นกัน จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยในปัญหาทั้งสองข้อดังกล่าวมา จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยคงฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 โดยศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับจำนวน 1 เม็ด ราคา 120 บาท แล้วสายลับนำเมทแอมเฟตามีนไปมอบให้แก่พยานโจทก์คือ ร้อยตำรวจโทสถาพร รอดโพธิ์ทอง และสิบตำรวจโทสมาร์ท จำรัสศรี พยานโจทก์ทั้งสองไปตรวจค้นและจับกุมจำเลย ผลการตรวจค้นตัวจำเลยพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1 เม็ด และธนบัตรที่ใช้ล่อซื้ออยู่ในกระเป๋าสตางค์ของจำเลย เมื่อร้อยตำรวจโทสถาพรกล่าวหาจำเลยว่ามียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพ
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือไม่ เห็นว่าการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนลักษณะของการกระทำต่างกัน เป็นการกระทำต่างขั้นตอนกัน สามารถแยกการกระทำแต่ละอย่างต่างหากจากกันได้ ทั้งนี้พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ไม่ได้นิยามความหมายของคำว่า จำหน่าย ให้มีความหมายรวมถึงการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วย ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 4 ซึ่งแสดงว่าพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มุ่งประสงค์จะลงโทษ การมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษทั้งสองกรณี ดังนั้น เมื่อจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยก็มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกระทงหนึ่งแล้ว ครั้นเมื่อจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1 เม็ด จำเลยก็มีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอีกกระทงหนึ่ง การกระทำของจำเลยมิได้เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยสองกรรมชอบแล้ว
พิพากษายืน