คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 709/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 เป็นเรื่องฉ้อโกงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน คำว่า “ประชาชน” มิได้มีคำจำกัดความไว้ในประมวลกฎหมายอาญา แต่ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหมายถึง “บรรดาพลเมือง” และคำว่า “พลเมือง” มีความหมายถึง “ชาวเมืองทั้งหลาย”
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งหกหลอกลวงโจทก์และประชาชนที่เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 4 ประมาณ 30 คน จึงเป็นการหลอกลวงเฉพาะบุคคลที่เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 4 ซึ่งมีจำนวนมากเท่านั้น มิใช่เป็นการหลอกลวงประชาชนโดยทั่ว ๆ ไป ฟ้องดังกล่าวจึงไม่มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๔ เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๕ และที่ ๖ เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๔ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ตามเช็คจากจำเลยที่ ๔ ซึ่งจำเลยที่ ๔ ไม่มีเงินพอชำระ ในระหว่างที่โจทก์กำลังดำเนินคดีทั้งในทางแพ่งและทางอาญาต่อจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๖ จำเลยทั้งหกได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมาย โดยจำเลยทั้งหกหลอกลวงโจทก์และประชาชนที่เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ ๔ ประมาณ ๓๐ คน ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งว่า ให้โจทก์และเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๔ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความมอบเช็คที่โจทก์และเจ้าหนี้อื่นเป็นผู้ทรงให้แก่จำเลยที่ ๑ และให้ระงับการฟ้องร้องจำเลยที่ ๔ ทั้งทางแพ่งและทางอาญา จำเลยทั้งหกจะจัดโอนกิจการและทรัพย์สินของจำเลยที่ ๔ ไปเป็นของบริษัทน้ำตาลระยอง จำกัด ส่วนสิทธิเรียกร้องของโจทก์และเจ้าหนี้อื่นที่มีต่อจำเลยที่ ๔ จำเลยทั้งหกจะโอนใบหุ้นของบริษัทน้ำตาลระยอง จำกัด ให้เท่ากับจำนวนหนี้ แต่ความจริงจำเลยทั้งหกได้ร่วมกันโอนกิจการและทรัพย์สินของจำเลยที่ ๔ ทั้งหมดไปเป็นของจำเลยที่ ๑ การกระทำของจำเลยดังกล่าวทำให้โจทก์และเจ้าหนี้อื่นเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๓๔๓, ๓๕๐ และ ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว สั่งว่าคดีมีมูลตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑, ๓๕๐ ส่วนข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ ไม่มีมูล
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๔ จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๕ ที่ ๖ เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๔ จำเลยที่ ๔ เป็นลูกหนี้โจทก์และผู้อื่นหลายราย จำเลยที่ ๑ เข้าจัดากรเรื่องหนี้สินของจำเลยที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๑๙ โจทก์และเจ้าหนี้อื่นของจำเลยที่ ๔ ประมาณ ๓๐ ราย พร้อมด้วยฝ่ายจำเลยไปประชุมกัน ทุกฝ่ายตกลงกันว่าจำเลยที่ ๑ จะจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ แล้วโอนกิจการและทรัพย์สินของจำเลยที่ ๔ ไปเป็นของบริษัทใหม่โดยให้เจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๔ ทุกคนได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทใหม่ตามจำนวนที่เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ ๔ ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๑๙ โจทก์มอบเช็คที่จำเลยที่ ๔ เป็นลุกหนี้รวม ๑๔ ฉบับให้จำเลยที่ ๑ แต่ในที่สุดโจทก์และเจ้าหนี้อื่นไม่ได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทใหม่ ทั้งจำเลยที่ ๔ โอนที่ดินและทรัพย์สินทั้งหมดใช้หนี้จำนองแก่จำเลยที่ ๑ ในราคา ๑๕,๓๐๐,๐๐๐ บาท ต่ำกว่าราคาที่แท้จริงประมาณ ๔๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทำให้โจทก์และเจ้าหนี้อื่นหมดหนทางจะได้รับชำระหนี้แล้ววินิจฉัยว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ เป็นเรื่องฉ้อโกงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน คำว่า “ประชาชน” มิได้มีคำจำกัดความไว้ในประมวลกฎหมายอาญาตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง “บรรดาพลเมือง” และคำว่าบรรดาพลเมืองมีความหมายถึง “ชาวเมืองทั้งหลาย” คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งหกหลอกลวงโจทก์และประชาชนที่เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๔ ประมาณ ๓๐ คน จึงเป็นการหลอกลวงเฉพาะบุคคลที่เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๔ ซึ่งมีจำนวนมากเท่านั้น มิใช่เป็นการหลอกลวงประชาชนโดยทั่วไป ฟ้องโจทก์ไม่มีมูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓
พิพากษายืน

Share