แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกมรดกจากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันเมื่อทรัพย์มรดกที่ตกได้แก่จำเลยที่ 2 ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่จึงเป็นสินสมรส จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีย่อมมีอำนาจจัดการและฟ้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์มรดกซึ่งเป็นสินบริคณห์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5(เดิม) แม้ภายหลังมีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5ซึ่งได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2519 แล้ว จำเลยที่ 1ยังคงมีอำนาจจัดการทรัพย์พิพาทต่อไปตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจใช้สิทธิของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทายาทยกอายุความ 1 ปีขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นสามีจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์โดยเป็นบุตรของนางบุญ บิดาตายไปแล้ว นางบุญได้นายเภาเป็นสามี นายเภามีบุตรติดมาหลายคน เมื่อ 4 ปีมานี้นางบุญตายนายเภาครอบครองทรัพย์สินอันมีที่นา 67 ไร่ ที่ดินอาศัยเนื้อที่ 1 ไร่ และบ้าน1 หลัง เมื่อเดือน 4 ปีนี้ (2519) นายเภาตาย จำเลยทั้งสองจึงได้ครอบครองทรัพย์ดังกล่าวและได้แบ่งที่นาให้บุตรของนายเภาไป 33 ไร่ เหลือ 34 ไร่ และทรัพย์รายการอื่นซึ่งเป็นมรดกส่วนของโจทก์กึ่งหนึ่ง แต่จำเลยไม่ยอมแบ่งให้โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับ
จำเลยที่ 1 ให้การว่าที่นาและที่อยู่อาศัยเป็นของจำเลยได้มาตามคำพิพากษา ส่วนเรือนพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 มาก่อน คดีโจทก์ขาดอายุความมรดก จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นมรดกของนางบุญซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับร่วมกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ทายาทจะยกอายุความ 1 ปีขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่ได้ พิพากษาให้แบ่งทรัพย์พิพาทให้โจทก์กึ่งหนึ่ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นสามีจำเลยที่ 2 ทรัพย์พิพาทเป็นมรดกตกได้แก่จำเลยที่ 2 จึงเป็นสินสมรสของจำเลยทั้งสอง ตั้งแต่พ.ศ. 2516 (นางบุญตาย) เป็นต้นมาจำเลยที่ 1 ในฐานะสามีของจำเลยที่ 2ย่อมมีอำนาจที่จะจัดการสินบริคณห์ ฟ้องคดีนี้เกี่ยวกับการบำรุงรักษาหรือการใด ๆ เพื่อประโยชน์แก่สินบริคณห์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1466,1468 และ 1469 แม้ภายหลังจะมีพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ. 2519 แล้วก็หาทำให้สิทธิของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีอยู่ก่อนนั้นต้องเสียไปไม่จำเลยที่ 1 ยังคงมีอำนาจอยู่ดังเดิมตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงมีอำนาจที่จะใช้สิทธิของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทายาทยกอายุความ 1 ปีขึ้นเป็นข้อต่อสู้ โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1755 และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทรัพย์มรดกตั้งแต่นางบุญถึงแก่กรรมตลอดมาโจทก์ได้แยกเรือนไปอยู่กับภริยาต่างหากมิได้ครอบครองทรัพย์มรดกร่วมกับจำเลยโจทก์มาฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกตาย คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์