คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 709/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่บุคคลมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดร่วมกันนั้น ถือว่ามีกรรมสิทธิ์รวม
ที่ดินมีโฉนด ไม่ว่าผู้โอนให้จำเลยจะได้มาโดยการครอบครองปกปักษ์หรือไม่ เมื่อยังมิได้จดทะเบียนการได้มา จำเลยก็ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้ซื้อที่พิพาทโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดที่ ๒๓๖๙ โจทก์กับนางสุดถือกรรมสิทธิ์ฝ่ายละครึ่ง มิได้แยกโฉนด ครอบครองร่วมกันมา จำเลยซื้อส่วนของนางสุดในที่ดินรายนี้แล้วแสดงเจตนาครอบครองที่ดินที่ซื้อทางแถบติดคลอง เป็นนอกเหนือสัญญาซื้อขาย โจทก์ขอให้แบ่งแยกฝ่ายละครึ่งและติดคลองเท่า ๆ กัน จำเลยไม่ยอม จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดและที่ดินให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ให้มีด้านติดคลองเท่ากับส่วนของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของนางจำเริญที่ขายให้โจทก์ ซึ่งนางจำเริญครอบครองส่วนที่หมายเลข ๕ นางสุดครอบครองส่วนที่หมายเลข ๑, ๒, ๓, ๔ มาโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกิน ๑๐ ปีแล้ว
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่ดินโฉนดที่ ๒๓๖๙ หมาย ๑ (แผนที่พิพาทที่เจ้าพนักงานที่ดินทำขึ้น) นางสุดครอบครองเป็นส่วนสัดมากกว่า ๑๐ ปี จำเลยได้กรรมสิทธิ์เฉพาะในส่วนนี้ โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ หมาย ๒ และ ๓ พิพากษาให้โจทก์ได้ที่ หมาย ๒ และ ๓
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า นางสุดกับนายเปลี่ยนครอบครองที่ดินโฉนดที่ ๒๓๖๙ ร่วมกันส่วนได้ของนายเปลี่ยนตกได้แก่นางจำเริญและโจทก์ นางสุดก็ได้ครอบครองร่วมกันนางจำเริญและโจทก์จนนางสุดขายให้จำเลย พิพากษาแก้ให้แบ่งที่ดินโฉนดที่ ๒๓๖๙ ให้โจทก์ครึ่งหนึ่งโดยให้ส่วนของโจทก์จำเลยมีด้านยาวติดคลองเท่ากัน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่นายเปลี่ยนกับนางสุดรับมรดกลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่พิพาทก็์ดี เมื่อนางจำเริญรับมรดกนายเปลี่ยนบิดาลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่พิพาทร่วมกับนางสุดก็ดี เมื่อโจทก์ซื้อส่วนของนางจำเริญลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่พิพาทร่วมกับนางสุดก็ดี เมื่อจำเลยซื้อส่วนของนางสุดลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่พิพาทร่วมกับโจทก์ก็ดี การที่มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่พิพาทร่วมกันเช่นนี้ ชื่อว่ามีกรรมสิทธิ์รวม กฎหมายสันนิษฐานว่าผู้เป็นเจ้าของรวมกันมีส่วนเท่ากัน มีสิทธิจัดการทรัพย์สินรวมกัน เจ้าของมรดกคนหนึ่ง ๆ จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดในทางจัดการตามธรรมดาได้ อาจทำการเพื่อรักษาทรัพย์สินได้ มีสิทธิใช้สอยทรัพย์สินนั้นได้โดยไม่ขัดต่อสิทธิของเจ้าของรวมคนอื่น
ทางการนำสืบของจำเลยไม่ปรากฏว่า โจทก์ซื้อส่วนของนางจำเริญไว้โดยรู้ว่าที่พิพาทส่วนที่ หมาย ๑ และ ๓ เป็นของนางสุดแต่อย่างใด ดังนั้น ไม่ว่าที่พิพาทส่วนที่ หมาย ๑ และ ๓ นางสุดจะได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เมื่อยังมิได้มีการจดทะเบียนการได้มาเช่นนั้น จำเลยก็ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้ซื้อที่พิพาทส่วนของนางจำเริญมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตได้
พิพากษายืน

Share