คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 709/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยต้องโทษฐานลักทรัพย์ศาลจำคุก 6 เดือน ต่อมาจำเลยต้องโทษฐานทำร้ายร่างกาย ต่อสู้เจ้าพนักงานและเมาสุรา ศาลรวมกะทงลงโทษจำคุก 1 ปี แต่ฐานทำร้ายร่างกายนั้นศาลวางโทษจำคุก 4 เดือน ความผิดฐานทำร้ายร่างกาย จึงนำมากักกันจำเลยไม่ได้คงเหลือโทษฐานลักทรัพย์ครั้งเดียว ที่เป็นโทษฐานที่ระบุไว้ในมาตรา 41 ประมวลกฎหมายอาญา และมีกำหนดโทษจำคุกถึง 6 เดือน ศาลจึงมีอำนาจตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 14 ที่จะสั่งตามที่เห็นสมควร ศาลจึงอาจสั่งให้ยกเลิกการกักกันให้จำเลยได้

ย่อยาว

คดีนี้ศาลอาญาพิพากษาว่าจำเลยเสพย์สุราอาละวาดและทำร้ายร่างกาย เป็นความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๕๔, ๓๓๕ (๑๓) ให้รวมกะทงลงโทษจำคก ๖ เดือน เพิ่มโทษตามมาตรา ๗๒ อีก ๑ ใน ๓ จำคุก ๘ เดือน กับให้ลงโทษกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ. ๒๔๗๙ มาตรา ๔, ๘, ๙ อีก ๓ ปี คดีถึงที่สุด
ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ยกเลิกโทษกักกัน โดยมีประมวลกฎหมายอาญาขึ้นใหม่ ศาลอาญามีคำสั่งว่าโทษกักกันได้เปลี่ยนมาเป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕ แล้ว ตามรูปคดี่ จำเลยยังไม่อาจได้รับผลตามมาตรา ๒๔ , ๑๕ ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยต้องโทษฐานลักทรัพย์จำคุก ๖ เดือน พ้นโทษแล้วต้องโทษฐานทำร้ายร่างกาย ่ต่อสู้เจ้าพนักงาน เมาสุรา จำคุก ๑ ปี นอกนี้ไม่เข้าเกณฑ์ประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๔๑ แต่โทษฐานทำร้ายร่างกาย ต่อสู้เจ้าพนักงาน เมาสุรานั้น จำเลยถูกศาลพิพากษาเรียงกะทง เฉพาะความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ศาลจำคุก ๔ เดือน โทษครั้งนี้จึงนำมากักกันจำเลยไม่ได้คงเหลือฐานลักทรัพย์ครั้งเดียว จึงพิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ยกเลิกการกักกันคดีนี้เสีย
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้มีแต่โทษฐานลักทรัพย์ครั้งเดียว ที่เป็นโทษฐานที่ระบุไว้ในมาตรา ๔๑ ประมวลกฎหมายอาญา และมีกำหนดโทษจำคุกถึง ๖ เดือน ศาลจึงมีอำนาจตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๑๔ ที่จะสั่งตามที่เห็นสมควร ที่ศาลอุทธรณ์สั่งยกเลิกการกักกันให้จำเลยเสีย ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share