แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุกเข้าไปครอบครอง ขอให้ขับไล่จำเลย จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยมีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินเป็น น.ส. 3 โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินทับที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของจำเลย คดีจึงมีประเด็นโต้เถียงกรรมสิทธ์ในที่ดินพิพาท เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท
แม้โจทก์จะกล่าวมาในคำฟ้องว่าที่ดินพิพาทที่จำเลยบุกรุกมีเนื้อที่ 1 งาน 47 ตารางวา แต่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น คู่ความทั้งสองฝ่ายขอให้ทำแผนที่พิพาท ในการทำแผนที่พิพาทเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้รังวัดโดยคู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นผู้นำชี้ และรับกันว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 1 งาน 33 ตารางวา จึงมีประเด็นโต้เถียงกรรมสิทธิ์ที่ดินกัน ในเนื้อที่ 1 งาน 33 ตารางวา ซึ่งคิดเป็นราคาในขณะที่ยื่นคำฟ้องเพียง 49,875 บาท คดีนี้จึงมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เป็นเงินจำนวนดังกล่าว แม้จำเลยจะเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในทุนทรัพย์ 55,125 บาท ก็ไม่ทำให้ทุนทรัพย์ในคดีเพิ่มขึ้นได้ คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์เกินกว่าอัตราค่าทนายความขั้นสูงตามตาราง 6 ท้าย ป.วิ.พ. ซึ่งเป็นการกำหนดโดยผิดกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้
จำเลยฎีกาขอให้ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้วินิจฉัย ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามตาราง 1 ข้อ 2 (ก) ท้าย ป.วิ.พ. สองร้อยบาท แต่จำเลยเสียเกินมาจึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมาแก่จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๓๓๐ ของโจทก์ และส่งมอบที่ดิน แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินของโจทก์ออกทับที่ดินของจำเลยกับที่ดินของบุคคลอื่นและทางสาธารณประโยชน์ รั้วที่จำเลยล้อมอยู่ในที่ดินของจำเลย หากล้ำเข้าไปในที่ดิน ของโจทก์ จำเลยก็ได้ครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า ๑๐ ปี ที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายและที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยให้โจทก์จดทะเบียนแบ่งแยกโอนให้จำเลย หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า การออกโฉนดที่ดินของโจทก์ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์มาจาก เจ้าของเดิมโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต จำเลยมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทเนื้อที่ ๑ งาน ๓๓ ตารางวา ตามพื้นที่เส้นสีเขียวในแผนที่พิพาทและให้รื้อถอนรั้วที่รุกล้ำแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๓๓๐ ของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาท ยกฟ้องแย้งค่าฤชาธรรมเนียมฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายกอุทธรณ์ คืนค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลย ค่าทนายความ ชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุกเข้าไปครอบครองขอให้ขับไล่จำเลย จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยมีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินเป็น น.ส.๓ โจทก์ขอออกโฉนดทับ ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของจำเลยและอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง ดังนี้คดีจึงมีประเด็นโต้เถียงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ สำหรับราคาที่ดินพิพาทนั้น แม้โจทก์จะกล่าวมาในคำฟ้องว่าที่ดินพิพาทที่จำเลยบุกรุกมีเนื้อที่ ๑ งาน ๔๗ ตารางวา แต่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น คู่ความทั้งสองฝ่ายขอให้ทำ แผนที่พิพาท ในการทำแผนที่พิพาทเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้รังวัดโดยคู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นผู้นำชี้และรับกันว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ ๑ งาน ๓๓ ตารางวา จึงมีประเด็นโต้เถียงกรรมสิทธิ์ที่ดินในคดีนี้ เนื้อที่ ๑ งาน ๓๓ ตารางวา และคู่ความ ทั้งสองฝ่ายตกลงให้ถือว่าที่ดินพิพาทมีราคาไร่ละ ๑๕๐,๐๐๐ บาท หรือตารางวาละ ๗๗๕ บาท ที่ดินพิพาทมีราคาในขณะที่ยื่นคำฟ้องเพียง ๔๙,๘๗๕ บาท จึงเป็นคดีมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เป็นเงิน ๔๙,๘๗๕ บาท หาใช่ ๕๕,๑๒๕ บาทไม่ แม้จำเลยจะเสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ ๕๕,๑๒๕ บาท ก็ไม่ทำให้ทุนทรัพย์ในคดี เพิ่มขึ้นได้ คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง
ที่ศาลชั้นต้นมีกำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ ๕,๐๐๐ บาท เกินกว่าอัตราค่าทนายความขั้นสูง ตามตาราง ๖ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งเป็นการกำหนดโดยผิดกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจ กำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้ และคดีนี้จำเลยฎีกาได้เฉพาะ ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้วินิจฉัย เท่านั้นซึ่งจำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามตาราง ๑ ข้อ ๒ (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง สองร้อยบาท ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่จำเลยเสียไว้เกินต้องคืนให้จำเลย
พิพากษายืน แต่ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ ๒,๐๐๐ บา คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วน ที่เสียเกินมาให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ