แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยเฉพาะฐานความผิดในข้อหาออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค มิได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดในทางแพ่งมาด้วยดังนั้น การจะหักกลบลบหนี้กันได้หรือไม่เพียงใดย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติว่าด้วยความรับผิดในทางแพ่งจำเลยจึงนำเอาเงินที่จำเลยผ่อนชำระแก่โจทก์มา หักกลบลบหนี้กับโจทก์ในคดีนี้มิได้ กรณีความผิดจะเลิกกันตาม พระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7นั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ (1) ผู้กระทำความผิดใช้เงินตามเช็คแก่ผู้ทรงหรือแก่ธนาคารภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับคำบอกกล่าวว่า ธนาคารไม่ใช้เงิน และ (2) หนี้ที่ผู้กระทำผิดได้ออกเช็ค เพื่อใช้เงินนั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษา ถึงที่สุดเมื่อการผ่อนชำระหนี้ของจำเลยในคดีนี้ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์ตามเช็คฉบับใดคดีจึงยังไม่เลิกกัน จำเลยบอกเช็คจำนวน 6 ฉบับ เพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าปูนซิเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่จำเลยซื้อไปจากโจทก์ ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินในบัญชีของจำเลยมีไม่พอจ่ายจำเลยจึงต้องมีความผิดตามเช็คทั้งหกฉบับ ต้องลงโทษทุกกระทงความผิดรวม 6 กระทง การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดเพียง 5 กระทง ยังไม่ถูกต้องแม้โจทก์จะไม่ฎีกาในปัญหาข้อนี้ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเฉพาะการปรับบทและการลงโทษเสียให้ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225 แต่ไม่เพิ่มเติมโทษจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 6 กระทง จำคุก 6 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4 เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ 9 เดือน รวม 5 กระทงจำคุก 3 ปี 9 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเช็คพิพาททั้งหกฉบับตามฟ้อง จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมอบให้แก่โจทก์เมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดชำระเงิน โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเนื่องจากเงินในบัญชีของจำเลยมีไม่พอจ่าย โจทก์จึงไม่ได้รับเงินตามเช็คทั้งหกฉบับดังกล่าว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คทั้งหกฉบับเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าจากโจทก์จริง มูลหนี้ตามเช็คทั้งหกฉบับจึงชอบด้วยกฎหมายโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
ที่จำเลยฎีกาในประการต่อมาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2537 ถึงวันที่ 29 กันยายน 2537จำเลยได้ผ่อนชำระหนี้ตามเช็คแก่โจทก์รวมแล้วเป็นเงิน902,360 บาท เมื่อรวมกับหนี้ค่าจ้างสร้างทาวน์เฮาส์จำนวน256,000 บาท กับหนี้ค่าสินค้าที่โจทก์ซื้อจากจำเลยอีก 20,637 บาทเป็นเงินที่จำเลยชำระแก่โจทก์แล้วเป็นเงิน 366,997 บาทพอแก่การชำระหนี้ตามเช็คฉบับแรกแล้วนั้น ยังคลาดเคลื่อนอยู่เพราะเมื่อคำนวณแล้วจำเลยได้ผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์แล้วเป็นเงิน487,997 บาท แก่การชำระหนี้ตามเช็คฉบับลงวันที่13 กันยายน 2537 และเช็คฉบับลงวันที่ 19 กันยายน 2537ดังนั้น เช็คทั้งสองฉบับดังกล่าวจึงสิ้นผลผูกพันไป ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7หาใช่สิ้นผลผูกพันเฉพาะเช็คฉบับลงวันที่ 10 กันยายน 2537ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยไม่ เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเฉพาะฐานความผิดในข้อหาออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค มิได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดในทางแพ่งมาด้วยดังนั้น การจะหักกลบลบหนี้กันได้หรือไม่เพียงใดย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติว่าด้วยความรับผิดในทางแพ่ง จำเลยจึงนำเอาเงินที่จำเลยผ่อนชำระแก่โจทก์มาหักกลบลบหนี้กับโจทก์ในคดีนี้มิได้ส่วนกรณีความผิดจะเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 นั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ (1) ผู้กระทำความผิดใช้เงินตามเช็คแก่ผู้ทรงหรือแก่ธนาคารภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับคำบอกกล่าวว่าธนาคารไม่ใช้เงิน และ (2) หนี้ที่ผู้กระทำผิดได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินนั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า การผ่อนชำระหนี้ของจำเลยดังที่จำเลยนำสืบไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์ตามเช็คฉบับใด ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าปูนซิเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่จำเลยซื้อไปจากโจทก์ ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินในบัญชีของจำเลยมีไม่พอจ่าย จำเลยจึงต้องมีความผิดตามเช็คทั้งหกฉบับ ต้องลงโทษทุกกระทงความผิดและกรณียังถือไม่ได้ว่าเช็คฉบับหนึ่งฉบับใดได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดดังที่จำเลยฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดเพียง 5 กระทง ยังไม่ถูกต้อง แม้โจทก์จะไม่ฎีกาในปัญหาข้อนี้ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเฉพาะการปรับบทและการลงโทษเสียให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดรวม 6 กระทง ให้ลงโทษทุกกระทงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงและลดโทษแล้ว คงจำคุก2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1