คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7086/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องได้รับโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อจากผู้ให้เช่าซื้อยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลาง ซึ่งมีราคามากกว่าราคาค่าเช่าซื้อที่ยังเหลืออยู่จำนวนมาก เมื่อผู้เช่าซื้อจะชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ผู้ร้องก็ปฏิเสธ แสดงเจตนาว่าผู้ร้องต้องการรถยนต์บรรทุกของกลาง ซึ่งมีราคามากกว่าที่ตนควรจะได้ การยื่นคำร้องขอคืนของกลางจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอคืนของกลาง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ทางหลวง พ.ศ. 2535 มาตรา 61, 73 ให้คืนของกลางแก่เจ้าของ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่าให้ริบรถยนต์บรรทุก หมายเลขทะเบียน 93-2501 กรุงเทพมหานคร ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้คืนรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลางหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องได้รับชำระค่าเช่าซื้อจากผู้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อนับตั้งแต่วันโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อจนถึงงวดประจำเดือนพฤษภาคม 2543 ซึ่งเมื่อนับตั้งแต่ผู้เช่าซื้อชำระงวดแรกจนถึงงวดประจำเดือนพฤษภาคม 2543 ผู้เช่าซื้อยังค้างชำระค่าเช่าซื้ออีก 2 งวด เป็นเงิน 55,757.70 บาท แต่เมื่อผู้เช่าซื้อนำค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระมาชำระให้ผู้ร้อง ผู้ร้องกลับปฏิเสธไม่ยอมรับชำระค่าเช่าซื้อ ทั้งที่ค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อเหลือเพียง 2 งวด เป็นเงินจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับราคารถยนต์บรรทุกของกลาง และหากผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่าเช่าซื้อหรือปฏิบัติตามหนังสือบอกกล่าวข้างต้นผู้ร้องก็อาจใช้สิทธิฟ้องร้องให้ผู้เช่าซื้อปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อได้ แต่ผู้ร้องกลับยืนคำร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลางซึ่งมีราคามากกว่าราคาค่าเช่าซื้อที่ยังเหลืออยู่จำนวนมาก เมื่อผู้เช่าซื้อจะชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ผู้ร้องก็ปฏิเสธ แสดงให้เห็นเจตนาของผู้ร้องว่าผู้ร้องต้องการรถยนต์บรรทุกของกลางซึ่งมีราคามากกว่าที่ตนควรจะได้ การที่ผู้ร้องใช้สิทธิยื่นคำร้องขอคืนของกลางจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 5 แห่ง ป.พ.พ. ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลาง และกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของผู้ร้องต่อไปเพราะไม่ทำให้เปลี่ยนแปลงผลของคดีได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share