แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะที่จำเลยที่ 1 วิ่งตรงเข้าไปใช้มีดแทงทำร้ายโจทก์ร่วม จำเลยที่ 2 ถือไม้กระบองยืนคุมเชิงอยู่ตรงที่เกิดเหตุและตะโกนห้ามมิให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยว แสดงว่าพร้อมจะให้ความช่วยเหลือได้ทันที พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่า เป็นการร่วมมือร่วมใจและแบ่งหน้าที่กันทำ อันมีลักษณะเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 288, 371 และนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 532/2559 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นายสุริยา ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ศาลชั้นต้นอนุญาต
นายเกียรติศักดิ์ ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาลและค่าเดินทางไปรักษาพยาบาล 50,000 บาท ค่าขาดรายได้ 50,000 บาท ค่าทนทุกข์ทรมานทางร่างกายและจิตใจ 200,000 บาท รวมเป็นเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาลและค่าเดินทางไปรักษาพยาบาล 200,000 บาท ค่าขาดรายได้ 100,000 บาท ค่าทนทุกข์ทรมานทางร่างกายและจิตใจ 200,000 บาท รวมเป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม
จำเลยที่ 1 ไม่ให้การในคดีส่วนแพ่ง
จำเลยที่ 2 ให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83, 371 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุกคนละ 12 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับคนละ 900 บาท ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 8 ปี และปรับคนละ 600 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3649/2559 ของศาลชั้นต้น กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน 160,000 บาท และ 368,588 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องและโจทก์ร่วมตามลำดับ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองและผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3649/2559 ของศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้ร้อง 190,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนแพ่งให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงโจทก์ร่วมที่ไหล่ขวา อกขวา หน้าท้องด้านซ้าย กลางหลังและใต้สะบักซ้าย แต่ละแห่งมีบาดแผลยาวประมาณ 2 เซนติเมตร และที่ข้อศอกซ้ายลึกถึงเส้นเอ็นและเส้นประสาท และแทงผู้ร้องที่หลังรวม 3 แห่ง แต่ละแห่งยาว 1 ถึง 3 เซนติเมตร ตามลำดับ ทะลุเข้าช่องปอดมีเลือดลมค้างในช่องปอดซ้าย ส่วนจำเลยที่ 2 ใช้ไม้กระบองตีที่ศีรษะของผู้ร้องเป็นแผลแตกยาว 2 เซนติเมตร สำหรับความผิดฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร และคดีส่วนแพ่งของโจทก์ร่วม จำเลยทั้งสอง โจทก์ และโจทก์ร่วมมิได้อุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และสำหรับคดีของจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยที่ 1 ไม่ได้ฎีกา จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์ทุกปากเป็นประจักษ์พยานเบิกความได้สอดคล้องต้องกัน ไม่ปรากฏข้อพิรุธสงสัยว่าจะเบิกความกลั่นแกล้งปรักปรับจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะพยานปากนางสมสี เจ้าของร้านค้าที่เกิดเหตุ ไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 2 และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ส่วนนางสาวสุธิดา พนักงานเสิร์ฟรู้จักและคุ้นเคยกับจำเลยที่ 2 แต่ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองมาก่อนเช่นกัน เชื่อว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความไปตามความจริง จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงโจทก์ร่วมที่ไหล่ขวา อกขวา หน้าท้องด้านซ้าย กลางหลังและใต้สะบักซ้าย แต่ละแห่งมีบาดแผลยาวประมาณ 2 เซนติเมตร และที่ข้อศอกซ้ายลึกถึงเส้นเอ็นกับเส้นประสาท และแทงผู้ร้องที่หลังรวม 3 แห่ง ทะลุเข้าช่องปอดมีเลือดลมค้างในช่องปอดซ้ายอันเป็นอวัยวะส่วนสำคัญ ชี้ชัดว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมและผู้ร้อง ดังนั้น ขณะที่จำเลยที่ 1 วิ่งตรงเข้าไปใช้มีดแทงทำร้ายโจทก์ร่วมในทันที จำเลยที่ 2 ถือไม้กระบองยืนคุมเชิงอยู่ตรงที่เกิดเหตุและตะโกนห้ามมิให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยว แสดงว่าพร้อมจะให้ความช่วยเหลือได้ทันที พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการร่วมมือร่วมใจและแบ่งหน้าที่กันทำ อันมีลักษณะเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งบาดแผลที่โจทก์ร่วมและผู้ร้องได้รับ แพทย์ผู้ตรวจรักษาให้การชั้นสอบสวนไว้ว่า หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาจทำให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าโจทก์ร่วมและผู้ร้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน