แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 ที่ ป. ซึ่งถูกถอนออกจากการเป็นทนายความลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์และผู้เรียง/พิมพ์ โดยไม่ได้รับแต่งตั้งให้มีอำนาจใช้สิทธิอุทธรณ์นั้น ถือเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องที่ 2 ลงชื่อในอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 ได้ และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังเท่ากับศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ผู้ร้องที่ 2 แก้ไขข้อบกพร่องนั้นแล้ว อุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 นั้น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามลำดับชั้นศาล
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนางแจ่มหรือปิ่นอนงค์ ผู้ร้องที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของนายกันตภณ เจ้ามรดก
ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำร้องขอให้ถอนผู้ร้องที่ 2 จากการเป็นผู้จัดการมรดกและตั้งผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก
ผู้ร้องที่ 2 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนนางแจ่มหรือปิ่นอนงค์ ผู้ร้องที่ 2 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายกันตภณ และตั้งนางสาวพิชชาภา ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายกันตภณแทน ให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
ผู้ร้องที่ 2 อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องที่ 2 ถอนนายประชา จากการเป็นทนายความของผู้ร้องที่ 2 ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ฉบับลงวันที่ 15 มีนาคม 2556 ต่อมาวันที่ 19 มกราคม 2558 นายประชายื่นคำคัดค้านคำร้องขอถอนผู้จัดการมรดกของผู้คัดค้านทั้งสามโดยระบุว่าเป็นทนายความของผู้ร้องที่ 2 และว่าความให้ผู้ร้องที่ 2 ตลอดมาจนยื่นอุทธรณ์ แต่ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องที่ 2 แต่งตั้งให้นายประชาเป็นทนายความของตน จึงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องที่ 2 ทำใบแต่งทนายความให้ถูกต้องก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ส่งสำนวนพร้อมซองคำพิพากษาคืนศาลอุทธรณ์เพื่อดำเนินการต่อไป ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยแจ้งให้ผู้ร้องที่ 2 ทำใบแต่งนายประชาเป็นทนายความให้ถูกต้องก่อนหรือภายในวันเวลานัด ผู้ร้องที่ 2 ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นโดยชอบแล้ว ครั้นถึงวันนัดผู้ร้องที่ 2 ไม่มาศาลและไม่ได้ทำใบแต่งทนายความให้ถูกต้อง ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนพร้อมซองคำพิพากษาคืนศาลอุทธรณ์
ต่อมาวันที่ 4 พฤษภาคม 2559 ผู้ร้องที่ 2 ยื่นคำร้องว่าไม่สามารถติดต่อนายประชาทนายความคนเดิมได้เนื่องจากการจ้างว่าความสิ้นสุดลงแล้ว จึงไม่อาจทำใบแต่งทนายความส่งศาลอุทธรณ์ ผู้ร้องที่ 2 ประสงค์ต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป ขอถือเอาอุทธรณ์ฉบับที่นายประชาลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์และผู้เรียง/พิมพ์ เป็นอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 พร้อมกับแต่งตั้งนายสุพจน์ เป็นทนายความคนใหม่ของผู้ร้องที่ 2 และวันที่ 16 พฤษภาคม 2559 ผู้ร้องที่ 2 ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ โดยแนบท้ายอุทธรณ์ฉบับใหม่ที่ลงชื่อผู้ร้องที่ 2 เป็นผู้อุทธรณ์และผู้เรียง/พิมพ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงอนุญาตให้ผู้ร้องที่ 2 ลงชื่อในอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 ได้ และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟัง วันที่ 5 ตุลาคม 2559 ซึ่งเป็นวันอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 11 เมษายน 2559 ให้คู่ความฟังโดยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องโดยให้ศาลชั้นต้นสั่งผู้ร้องที่ 2 ทำใบแต่งทนายความให้ถูกต้องก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังแต่ผู้ร้องที่ 2 ไม่ดำเนินการ อุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 ที่นายประชาลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์เป็นการลงลายมือชื่อโดยไม่มีอำนาจ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 มาเป็นการไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่ผู้ร้องที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
ผู้ร้องที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องที่ 2 ว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 ชอบหรือไม่ เห็นว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 ที่นายประชาซึ่งถูกถอนออกจากการเป็นทนายความลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์และผู้เรียง/พิมพ์ โดยไม่ได้รับแต่งตั้งให้มีอำนาจใช้สิทธิอุทธรณ์นั้น ถือว่าเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องที่ 2 ลงชื่อในอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 ได้ และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟัง เท่ากับศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ผู้ร้องที่ 2 แก้ไขข้อบกพร่องนั้นแล้ว อุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 นั้นเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามลำดับชั้นศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 247 (เดิม) ฎีกาข้ออื่นของผู้ร้องที่ 2 ไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่