คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 706/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เบิกความในคดีแพ่งว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่7 เป็นคดีอาญา ข้อหาหมิ่นประมาทและความผิดต่อเจ้าพนักงานต่อศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างเดียวกับปัญหาในคดีนี้ เมื่อโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างสำนวนคดีอาญาดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานและเสียค่าอ้างเอกสารครบถ้วนแล้ว แม้โจทก์ไม่ได้เรียกสำนวนนั้นมาประกอบการพิจารณา แต่จำเลยได้ส่งคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวต่อศาลก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา สำนวนคดีอาญาจึงเป็นพยานหลักฐานที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2) ศาลรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนนั้นประกอบการพิจารณาได้
เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่า ศาลฎีกาได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนอาญาแล้ว ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่7 ซึ่งเป็นจำเลยรายเดียวกับจำเลยในคดีส่วนอาญา ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยก็เป็นอย่างเดียวกันดังนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเป็นหลักในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 โดยต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 เป็นพนักงานโรงพยาบาลที่โจทก์เป็นผู้อำนวยการได้ทำบันทึกและให้ถ้อยคำต่อผู้อำนวยการกองโรงพยาบาลภูมิภาค และคณะกรรมการสอบสวนโจทก์ทางวินัยไปตามที่จำเลยได้รู้เห็นในฐานะที่ทำงานร่วมโรงพยาบาลเดียวกับโจทก์หรือเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นแก่จำเลยด้วยตนเองว่าโจทก์ทุจริตและประพฤติมิชอบในการปฏิบัติราชการ ซึ่งต่อมากระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 ได้แสดงความคิดเห็นหรือข้อความจริงโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมหรือตามวิสัยของการติชม ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสิบเอ็ดเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ได้ร่วมกันทำหนังสือร้องเรียนและให้ถ้อยคำเท็จอันเป็นหมิ่นประมาทโจทก์ต่อผู้อำนวยการกองโรงพยาบาลภูมิภาค และจำเลยที่1 ถึงที่ 7 ได้ร่วมกันไขข่าวฝ่าฝืนความจริงต่อหนังสือพิมพ์ ทำให้คณะกรรมการสอบสวนโจทก์ทางวินัยหลงเชื่อและกระทรวงสาธารณสุขสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 1,118,054 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสิบเอ็ดให้การว่า ไม่ได้ร่วมกันไขข่าวต่อหนังสือพิมพ์ จำเลยร้องเรียนและให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนตามความจริง เพื่อความชอบธรรมและปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ โจทก์ถูกปลดจากงานเพราะกระทำผิดวินัย จำเลยมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เบิกความในชั้นพิจารณาคดีนี้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 เป็นคดีอาญาในข้อหาหมิ่นประมาทและความผิดต่อเจ้าพนักงานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงเป็นอย่างเดียวกันกับปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้ด้วย ปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 479 – 480/2521 ของศาลจังหวัดสิงห์บุรี โจทก์ในคดีนี้ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างสำนวนคดีอาญาดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ด้วย และได้ชำระค่าธรรมเนียมในส่วนที่เป็นค่าอ้างเอกสารครบถ้วน ดังนี้ แม้โจทก์ไม่ได้เรียกสำนวนคดีอาญาดังกล่าวมาประกอบการพิจารณา แต่ฝ่ายจำเลยก็แถลงโดยส่งคำพิพากษาในคดีส่วนอาญาดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยชี้ขาดคดีนี้ตั้งแต่ก่อนทำพิพากษา สำนวนคดีคดีอาญาดังกล่าวจึงเป็นพยานหลักฐานที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา87(2) และรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนคดีอาญาดังกล่าวประกอบการพิจารณาได้ เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่า ศาลฎีกาได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีส่วนอาญานั้นแล้ว ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ของคดีนี้ ซึ่งเป็นจำเลยรายเดียวกันกับจำเลยในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้นด้วย รวมทั้งประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้ ก็เป็นอย่างเดียวกับปัญหาที่ได้วินิจฉัยในคดีส่วนอาญาดังกล่าว ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเป็นหลักในการพิพากษาคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 โดยต้องฟังว่า จำเลยที่1 ถึงที่ 7 ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์
ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ที่ทำบันทึกและให้ถ้อยคำต่อผู้อำนวยการกองโรงพยาบาลภูมิภาค และคณะกรรมการสอบสวนที่สอบสวนโจทก์ในข้อหาว่าโจทก์กระทำผิดวินัยร้ายแรง เป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เมื่อพิเคราะห์ข้อความตามบันทึกและข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 ให้ไว้ต่อบุคคลดังกล่าวแล้วเห็นได้ว่าล้วนแต่เป็นพฤติการณ์ตามที่จำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 ได้รู้เห็นในฐานะที่ทำงานอยู่ร่วมโรงพยาบาลเดียวกันกับโจทก์ หรือเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นแก่จำเลยที่ 8 ถึงที่ 11ด้วยตนเองทั้งสิ้น ทั้งเรื่องราวที่โจทก์ถูกร้องเรียนดังกล่าวจนเป็นเหตุให้โจทก์ถูกตั้งกรรมการสอบสวนนั้น คณะกรรมการสอบสวนก็ฟังว่า โจทก์กระทำผิดวินัยตามข้อกล่าวหาหลายประการ โดยมีกรณีกระทำผิดฐานเรียกร้องและรับเงินจากจำเลยที่ 7 และที่ 10รวมอยู่ด้วย ฐานมีพฤติการณ์ในการข่มขู่จำเลยที่ 9 ให้ยินยอมมีความสัมพันธ์ในทางชู้สาวกับโจทก์ ฐานนำรถยนต์ของโรงพยาบาลไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ฐานมีมลทินมัวหมองเกี่ยวกับเงินของผู้บริจาคให้แก่โรงพยาบาล รวม 3 ราย และฐานไม่ควบคุมตรวจสอบและวางระเบียบในการซื้ออาหารคนไข้ของโรงครัวโรงพยาบาลทำให้มีการทำบิลเงินสดปลอมในการซื้ออาหารแล้วนำไปเบิกเงินของทางราชการปลัดกระทรวงสาธารณสุขซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์ได้มีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการแล้วพฤติการณ์และข้อเท็จจริงเช่นนี้ย่อมพอถือได้ว่า จำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 ได้แสดงความคิดเห็นหรือข้อความจริงโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมหรือตามวิสัยของการติชม ส่วนข้อความตามบันทึกและการให้ถ้อยคำของจำเลยที่ 8 บางข้อหรือในส่วนที่คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยมิได้นำมารับฟังว่าโจทก์กระทำผิดวินัยนั้น ปรากฏว่าข้อความตามบันทึกหรือการให้ถ้อยคำดังกล่าวมีลักษณะกระทำไปโดยสุจริตตามที่ได้รับคำบอกเล่ามา และมีเหตุอันควรเชื่อว่าเป็นความจริงทั้งข้อความดังกล่าวก็มิเป็นการหมิ่นประมาทต่อโจทก์ด้วย สรุปข้อวินิจฉัยดังกล่าวมาต้องฟังว่า จำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 ได้ทำบันทึกและให้ถ้อยคำไปโดยไม่มีข้อความที่ผิดกฎหมายหรือฝ่าฝืนความจริงแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
ส่วนฎีกาข้อ 2 ของโจทก์ในปัญหาเรื่องไขข่าวฝ่าฝืนความจริงต่อหนังสือพิมพ์มีข้อความเป็นการละเมิดต่อโจทก์นั้น ปรากฏว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 ได้ไขข่าวหรือร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ไขข่าวต่อหนังสือพิมพ์ด้วยดังนี้แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 มีส่วนร่วมกระทำการไขข่าวฝ่าฝืนความจริง ก็เป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกประเด็น จะรับฟังมาเป็นข้อวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่8 ถึงที่ 11 เป็นการละเมิดต่อโจทก์หาได้ไม่ คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ในปัญหาเรื่องค่าเสียหายอีกต่อไป
พิพากษายืน.

Share