คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7057/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์อนุมัติสินเชื่อให้แก่นางสาว ร. แล้วโอนเงินมาชำระหนี้ส่วนตัวให้โจทก์ แล้วต่อมาหนี้รายของ นางสาว ร. กลายเป็นหนี้เสียนั้น เป็นพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยมีเหตุอันควรไม่ไว้วางใจในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าว จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49
เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นผลทำให้สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดลง โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างชอบที่จะได้รับใบสำคัญแสดงว่าลูกจ้างนั้นได้ทำงานมานานเท่าไรและงานที่ทำนั้นเป็นงานอย่างไรจากนายจ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 585 แต่นายจ้างไม่จำต้องระบุข้อความว่าลูกจ้างมิได้กระทำผิดไว้ในหนังสือสำคัญแสดงการทำงาน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายทำงานในตำแหน่งผู้จัดการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ2 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยที่โจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ จำเลยค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์ โจทก์มีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542 ถึงวันที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน ถ้าโจทก์ไม่ถูกเลิกจ้างจะได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2543 เป็นเงินเดือนอัตราใหม่ โจทก์จะเกษียณอายุงาน ซึ่งจำเลยจะต้องจ่ายเงินช่วยเหลือปีละ 2 เท่าของเงินเดือน เงินบำเหน็จ และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมรวมเป็นเงินจำนวน 9,235,012 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 9,235,012 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและออกหนังสือรับรองการทำงานให้แก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์สืบเนื่องมาจากโจทก์ได้ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยในการอำนวยสินเชื่ออันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงจนจำเลยถูกธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจพบความไม่ถูกต้องของโจทก์ และโจทก์ทราบดีถึงระเบียบคำสั่งดังกล่าว ซึ่งได้วางโทษไว้สถานหนัก คือ ปลดออกการกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนระเบียบคำสั่งของจำเลยอย่างร้ายแรง เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายในการปล่อยสินเชื่อโดยโจทก์อาศัยอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ของโจทก์โดยทุจริต การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควรมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินช่วยเหลือ และค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้าง สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และเงินช่วยเหลือเป็นเงิน 1,732,850 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 9 กรกฎาคม 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกว่า การที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้กล่าวอ้างไว้ในหนังสือเลิกจ้างและมิได้ให้การไว้มาประกอบการวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น จึงเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า จำเลยได้ให้การอ้างว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยโดยการกระจายหนี้เป็นรายย่อยเพื่อให้อยู่ในอำนาจอนุมัติของโจทก์ และจำเลยได้นำสืบถึงข้อเท็จจริงตามที่ให้การ ศาลแรงงานกลางจึงสามารถหยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยได้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ส่วนการที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้กล่าวอ้างไว้ในหนังสือเลิกจ้างขึ้นวินิจฉัยนั้น เห็นว่า การจะวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างของจำเลยซึ่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 มิได้ระบุว่า ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือเลิกจ้างแล้ว นายจ้างจะยกเหตุแห่งการเลิกจ้างขึ้นอ้างภายหลังไม่ได้ ดังนั้น ในการพิจารณาคดีในกรณีที่ลูกจ้างฟ้องว่า นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม นายจ้างย่อมยกเหตุเลิกจ้างขึ้นอ้างในการต่อสู้คดีได้แม้มิได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือเลิกจ้าง อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อสองว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์คดีนี้เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมหรือไม่ และจำเลยต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ร่วมกับคณะกรรมการพิจารณาสินเชื่อสาขาขอนแก่นอนุมัติสินเชื่อรายห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญชูศุภฤกษ์เป็นเงินจำนวน 7,000,000 บาท โดยมีหลักทรัพย์ของนายสมศักดิ์ ประเสริฐรุ่งเรือง ซึ่งเป็นลูกหนี้ประเภทเงินให้สินเชื่อของสาขาขอนแก่นอยู่แล้วเป็นหลักประกันบางส่วน นายสมศักดิ์ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนอยู่ในห้างดังกล่าว และโจทก์ได้ร่วมกับคณะกรรมการพิจารณาสินเชื่อสาขาขอนแก่นอนุมัติสินเชื่อรายนางสาวรติรัตน์ อาวัชนาการ จำนวน 10,000,000 บาท นางสาวรติรัตน์เป็นบุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้วของนายแมนสรวง อาวัชนาการ ซึ่งเป็นลูกหนี้ประเภทเงินให้สินเชื่อของสาขาขอนแก่นอยู่แล้ว หลังจากอนุมัติสินเชื่อรายห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญชูศุภฤกษ์แล้ว เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2537 นายสมศักดิ์ ประเสริฐรุ่งเรือง ซื้อที่ดินในโครงการของนางจิราภรณ์ กาญจโนมัย ภริยาของโจทก์โดยได้รับเงินกู้จากสาขาขอนแก่น จำนวน 1,270,000 บาท และหลังจากอนุมัติสินเชื่อรายนางสาวรติรัตน์แล้ว มีการโอนเงินจากบัญชีของนางสาววรติรัตน์ไปเข้าบัญชีของโจทก์จำนวน 8,067,575.34 บาท ต่อมาหนี้รายนางสาวรติรัตน์เป็นหนี้เสียและจำเลยฟ้องร้องดำเนินคดีแพ่งกับนางสาวรติรัตน์แล้วด้วย เห็นว่า การกระทำของโจทก์ดังกล่าวแม้จะเป็นการดำเนินธุรกิจส่วนตัวที่มิได้กระทำในนามของจำเลยหรืออาศัยตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์ ซึ่งมิได้ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างได้รับความเสียหาย แต่การที่โจทก์อนุมัติสินเชื่อให้แก่นางสาวรติรัตน์แล้วโอนเงินมาชำระหนี้ส่วนตัวให้แก่โจทก์ แล้วต่อมาหนี้รายของนางสาวรติรัตน์กลายเป็นหนี้เสียนั้นเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยมีเหตุอันควรไม่ไว้วางใจการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายตามฟ้องให้แก่โจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อสามว่า จำเลยต้องออกหนังสือสำคัญแสดงการทำงานโดยระบุว่าโจทก์ไม่มีความผิดให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นผลทำให้สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดลง โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างชอบที่จะได้รับใบสำคัญแสดงว่าลูกจ้างนั้นได้มาทำงานมานานเท่าไร และงานที่ทำนั้นเป็นงานอย่างไรจากนายจ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 585 แต่จำเลยไม่จำต้องระบุข้อความว่าโจทก์มิได้กระทำผิดไว้ในหนังสือสำคัญแสดงการทำงาน อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน…
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยออกหนังสือสำคัญแสดงการทำงานให้แก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง.

Share