แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 บัญญัติห้ามเฉพาะการนำพยานบุคคลเข้าสืบแทนพยานเอกสารหรือประกอบข้ออ้างว่ายังมีข้อความเพิ่มเติมหรือแก้ไขข้อความในเอกสารในเมื่อมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง การที่โจทก์นำสืบถึงข้อตกลงเกี่ยวกับราคาที่ดินตามหนังสือสัญญาที่ทำกันอีกส่วนหนึ่งนอกเหนือจากหนังสือสัญญาขายที่ดินที่จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน จึงไม่เป็นการต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์แบ่งขายที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลยจำนวน16 ไร่ ในราคาไร่ละ 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 480,000 บาท จำเลยชำระเงินค่าที่ดินให้แก่โจทก์แล้วจำนวน 140,000 บาท คงค้าง340,000 บาท ต่อมาจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างหมู่บ้านคุรุสภาโจทก์ไปทวงถามให้จำเลยชำระค่าที่ดินที่ยังค้างชำระ แต่จำเลยเพิกเฉย รวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยที่จำเลยจะต้องชำระให้แก่โจทก์จำนวน 346,375 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 346,375 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 340,000 บาทนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการคุรุสภาจังหวัดชัยภูมิมีหน้าที่จัดให้มีหมู่บ้านคุรุสภาในจังหวัดชัยภูมิ โจทก์มาเสนอขายที่ดินจำนวน 16 ไร่ ราคาไร่ละ 30,000 บาทจำเลยได้หารือไปยังเลขาธิการคุรุสภา ที่กรุงเทพมหานคร ได้รับคำตอบว่าต้องใช้ที่ดินอย่างน้อย 45 ไร่ จำเลยจึงบอกเลิกไม่ซื้อที่ดินจากโจทก์ แล้วโจทก์มาเสนอขายที่ดินให้แก่จำเลย อ้างว่ามีความจำเป็นต้องใช้เงินโดยจะขาย 16 ไร่เศษ ในราคา 100,000 บาทจำเลยต่อรองจนเหลือราคา 65,000 บาท โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาซื้อขายกันในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2527 โดยจำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์50,000 บาทในวันทำสัญญา ส่วนที่เหลือชำระกันในวันโอนกรรมสิทธิ์กำหนดโอนภายใน 1 ปี ต่อมาในเดือนธันวาคม 2528 จำเลยชำระเงินส่วนที่เหลือ 15,000 บาท ให้แก่โจทก์ โจทก์จำเลยจึงทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม2528 จำเลยชำระค่าที่ดินให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์อีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 340,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี คิดจากวันที่27 ตุลาคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 6,375 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า สำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย ล.1 ระบุว่า ผู้ขายยอมขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อเป็นเงิน 65,000 บาท ผู้ซื้อได้ชำระและผู้ขายได้รับเงินค่าที่ดินไว้เป็นการถูกต้องแล้ว โจทก์นำสืบว่าราคาแท้จริงเป็นเงิน 480,000บาท ไม่ใช่ 65,000 บาท ตามที่ระบุไว้ในสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ล.1 เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินดังกล่าว ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 และโจทก์ได้รับชำระราคาที่ดินที่ขายจากจำเลยครบถ้วนแล้ว โจทก์จะอ้างว่าจำเลยติดค้างค่าที่ดินอีกหาได้ไม่ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ตามคำฟ้อง คำให้การและที่โจทก์จำเลยนำสืบมา ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ตกลงขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 24658 และ 24659ตำบลโพนทอง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ให้แก่จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2527 ต่อมาวันที่ 13 ธันวาคม 2528 ได้ทำหนังสือจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินตามสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ล.1 ในเอกสารดังกล่าวมีข้อความระบุว่า ผู้ขายยอมขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อในราคา65,000 บาท ผู้ซื้อได้ชำระราคาและผู้ขายได้รับเงินค่าที่ดินไว้เป็นการถูกต้องแล้ว คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า สำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ล.1 ระบุราคาซื้อขายเป็นเงิน 65,000 บาท ผิดจากความจริง เจตนาของโจทก์เพียงแต่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ส่วนราคาที่ดินโจทก์ถือตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่จำเลยไม่ยอมคืนให้ โจทก์มิได้ตกลงให้ระบุว่าราคาที่ดินในสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินเป็นเงิน 65,000 บาทเป็นเรื่องที่จำเลยให้ระบุไว้เช่นนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี จึงเป็นหนังสือสัญญาไม่สมบูรณ์ โจทก์มีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบได้นั้นเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 บัญญัติห้ามเฉพาะการนำพยานบุคคลเข้าสืบแทนพยานเอกสารหรือประกอบข้ออ้างว่ายังมีข้อความเพิ่มเติมหรือแก้ไขข้อความในเอกสารในเมื่อมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง การที่โจทก์นำสืบถึงข้อตกลงเกี่ยวกับราคาที่ดินตามหนังสือสัญญาที่ทำกันเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2527อีกส่วนหนึ่งนอกเหนือจากหนังสือสัญญาขายที่ดินที่จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินนั้น จึงไม่เป็นการต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกันในราคาเท่าใด และจำเลยยังค้างชำระค่าที่ดินแก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยใหม่ ในปัญหาดังกล่าวแม้โจทก์จะไม่มีหนังสือสัญญาขายที่ดินซึ่งทำกันเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2527 มาแสดงว่าทำหนังสือสัญญาขายที่ดินพิพาทให้จำเลยในราคา 480,000 บาท แต่ก็ได้ความว่ามีการทำหนังสือสัญญาขายที่ดินกันเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2527โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้เก็บหนังสือสัญญาฉบับดังกล่าวไว้ จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้เก็บสัญญาฉบับนั้นไว้ และจำเลยเบิกความตอบคำถามค้านว่า โจทก์เคยมาขอสัญญาที่ทำกันไว้อ้างว่าฉบับที่โจทก์ถือไว้หาย จำเลยไม่ให้จำเลยได้ทำลายสัญญาฉบับนั้นทิ้งไปแล้ว ดังนี้ จึงเป็นกรณีที่หนังสือสัญญาขายที่ดินที่ทำกันเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2527 สูญหายหรือถูกทำลายและศาลอนุญาตให้นำพยานบุคคลมาสืบได้ โจทก์มีโจทก์และนางมนุ บุญเจริญ ภริยาโจทก์เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า โจทก์ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยในราคาไร่ละ 30,000 บาท เป็นเงิน 480,000 บาท ทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินกันเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2527 ไม่ใช่ซื้อขายกันในราคา 65,000 บาท ดังที่ระบุไว้ในสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ล.1 ที่จดทะเบียนไว้ต่อเจ้าพนักงานที่ดินเหตุที่ระบุว่าราคาซื้อขายเป็นเงิน 65,000 บาท นั้น ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีเงินได้ให้น้อยลง การซื้อขายที่ดินพิพาทนี้จำเลยได้ชำระค่าที่ดินให้แก่โจทก์แล้วรวม 140,000 บาท จำเลยยังคงเป็นหนี้ค่าที่ดินโจทก์อยู่อีก 340,000 บาท จำเลยอ้างว่าขายที่ดินพิพาทไม่ได้ พยานจึงหาวิธีการโดยจำเลยยอมให้โจทก์เสนอขายที่ดินพิพาท พยานช่วยดำเนินการจนสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทจังหวัดชัยภูมิ ตกลงจะซื้อแล้ว แต่ขัดข้องเพราะมีผู้โต้แย้งกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท เห็นว่า พยานโจทก์มีน้ำหนักและเหตุผลรับฟังได้ที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยในราคา 65,000 บาท จำเลยได้ชำระค่าที่ดินให้แก่โจทก์ในวันทำสัญญาเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2527 เป็นเงิน 50,000 บาท ส่วนที่เหลือ 15,000 บาท จำเลยได้ชำระให้ในวันที่ 13 ธันวาคม 2528ที่ทำหนังสือสัญญาขายที่ดินจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินนั้นเห็นว่า ที่จำเลยนำสืบว่า ระหว่างจำเลยดำเนินการจัดหาที่ดินเพื่อปลูกบ้านขายให้แก่สมาชิกคุรุสภา นายบุญ บุตรศรี พี่เขยโจทก์บอกว่าโจทก์ประสงค์จะขายที่ดิน 2 แปลง เนื้อที่ 16 ไร่เศษ ราคาไร่ละ30,000 บาทนั้น เป็นราคาที่ตรงกันกับที่โจทก์อ้างว่าตกลงขายให้แก่จำเลยราคาไร่ละ 30,000 บาท เป็นเงิน 480,000 บาท ทั้งที่โจทก์จะขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยเนื้อที่ 16 ไร่ ราคา 65,000 บาทก็เป็นราคาที่ต่ำลงมาก คำนวณแล้วราคาไร่ละ 4,062.50 บาท เท่านั้นการที่โจทก์นำสืบว่า กำหนดราคาซื้อขายที่ดินพิพาทเพียง 65,000 บาทตามสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ล.1 ที่จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีเงินได้ให้น้อยลงนั้นมีเหตุผลและเป็นไปได้ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกันในราคา 480,000 บาท และจำเลยชำระค่าที่ดินให้แก่โจทก์แล้ว 140,000 บาท คงค้าง 340,000 บาท ตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น