คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7051/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้จำเลยให้การว่า ที่โจทก์มอบอำนาจให้ ก. หรือ ส. หรือ พ. เป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับลายมือชื่อตามหนังสือมอบอำนาจฉบับลงวันที่ 27 สิงหาคม 50 และหนังสือมอบอำนาจช่วง ลงวันที่ 16 มกราคม 51 ปรากฏว่าลายมือชื่อของ ส. ในหนังสือมอบอำนาจทั้งสองฉบับมีลักษณะช่องไฟและตัวอักษรต่างกัน ไม่น่าเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ จะเห็นได้ว่า ตามคำให้การจำเลยมุ่งเน้นให้การต่อสู้ลายมือชื่อของ ส. ส่วนที่จำเลยให้การว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีมิใช่ลายมือชื่อโจทก์ เป็นการปฏิเสธลอย ๆ ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่เป็นประเด็นให้ศาลต้องวินิจฉัยว่าลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจเป็นลายมือชื่อกรรมการโจทก์หรือไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองฟังพยานหลักฐานของโจทก์ว่ายังฟังไม่ได้ว่า ส. และ อ. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำแทนโจทก์ในขณะฟ้องคดี โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ส่วนที่โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นคู่กรณีขับรถยนต์กระบะชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ จำเลยให้การรับว่าเป็นคู่กรณีจริง การที่หนังสือมอบอำนาจ ระบุชื่อสกุล จำเลย ผิดพลาดเป็นคำว่ามั่นประเสริฐ ที่ถูกต้องคือ มั่นประสิทธิ์ จึงเป็นการพิมพ์ผิดพลาด มิใช่กรณีฟ้องผิดคน ถือว่าโจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยโดยชอบ แม้ว่าภายหลังโจทก์จะยื่นคำร้องขอเปลี่ยนหนังสือมอบอำนาจฉบับใหม่ ระบุชื่อ และชื่อสกุลจำเลยโดยถูกต้อง แต่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งอนุญาตตามคำร้อง ก็ไม่มีผลให้การมอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วเสียไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 318,127 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 298,711 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้องกับฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์กับนางสารภีชำระเงิน 76,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกนางสารภี เข้ามาเป็นคู่ความร่วมกับโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
โจทก์ร่วมขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะยื่นฟ้องใหม่ภายในอายุความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด โจทก์รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน ภท 2977 กรุงเทพมหานคร ไว้จากโจทก์ร่วม จำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บค. 8402 ลำปาง เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2550 เวลา 17.30 นาฬิกา จำเลยขับรถยนต์กระบะชนท้ายรถยนต์หมายเลขทะเบียน ภท 2977 กรุงเทพมหานคร ขณะจอดติดสัญญาณจราจรไฟที่สามแยกทุ่งเศรษฐี อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ทำให้รถยนต์หมายเลขทะเบียน ภท 2977 กรุงเทพมหานคร ได้รับความเสียหาย และโจทก์ร่วมผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าวกับนางสาวจินา ที่นั่งโดยสารมาได้รับบาดเจ็บ พนักงานสอบสวน เห็นว่า จำเลยขับรถยนต์กระบะโดยประมาท จึงเปรียบเทียบปรับจำเลยเป็นเงิน 400 บาท โจทก์นำรถยนต์หมายเลขทะเบียน ภท 2977 กรุงเทพมหานคร เข้าประเมินความเสียหาย ปรากฏว่า หากจะซ่อมแซมรถยนต์ จะมีค่าซ่อมสูงกว่าร้อยละ 80 ของทุนประกันภัย โจทก์จึงชำระเงินตามทุนประกันภัยให้แก่โจทก์ร่วม 570,000 บาท และนำซากรถยนต์ขายแก่นายทนม เป็นเงิน 290,000 บาท โจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายรถยนต์เข้าประเมินค่าซ่อมอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้โจทก์ได้ชำระค่ารักษาพยาบาลแก่โจทก์ร่วมและนางสาวจินาแล้ว รับช่วงสิทธิมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องคดีโดยชอบหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจประกันภัยมีกรรมการ 10 คน กรรมการสองคนมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญ ทำการแทนโจทก์และผูกพันโจทก์ได้ โจทก์มอบอำนาจให้นายเกรียงศักดิ์ และหรือนายสมนึก และหรือนายพิชิต เป็นผู้มีอำนาจดำเนินการคดีแทนโจทก์ได้ รวมทั้งให้มีอำนาจตั้งผู้รับมอบอำนาจช่วงได้ด้วย และโจทก์โดยนายสมนึก ผู้รับมอบอำนาจ ได้มอบอำนาจช่วงให้นายธีรเมธ มีอำนาจดำเนินคดีนี้ ตามภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจและหนังสือมอบอำนาจช่วงท้ายคำฟ้อง จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้โดยชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีมิใช่ลายมือชื่อโจทก์ ที่โจทก์มอบอำนาจให้นายเกรียงศักดิ์ หรือนายสมนึก หรือนายพิชิต นั้น เมื่อเปรียบเทียบลายมือชื่อตามหนังสือมอบอำนาจ ลงวันที่ 27 สิงหาคม 2550 (คือหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายคำฟ้อง) และหนังสือมอบอำนาจช่วงลงวันที่ 16 มกราคม 2551 (คือหนังสือมอบอำนาจช่วงเอกสารท้ายคำฟ้อง) ปรากฎว่าลายมือชื่อนายสมนึก ในหนังสือสองฉบับ มีลักษณะช่องไฟและตัวอักษรต่างกัน ไม่น่าเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์จริง ตามคำให้การดังกล่าว เห็นได้ว่า จำเลยมุ่งให้การต่อสู้กรณีลายมือชื่อของนายสมนึก ตามหนังสือมอบอำนาจ และตามหนังสือมอบอำนาจช่วงว่ามีลักษณะช่องไฟและตัวอักษรต่างกัน ไม่น่าเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของนายสมนึกจริง ส่วนที่จำเลยระบุในคำให้การด้วยว่าหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีมิใช่ลายมือชื่อโจทก์นั้น เป็นการให้ปฏิเสธลอย ๆ ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่เป็นประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่า ลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเป็นลายมือมือชื่อของกรรมการโจทก์หรือไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาฟังไม่ได้ว่า นายสุธีชัย และนายอุดม เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อกระทำแทนโจทก์ได้ในขณะทำหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ลงวันที่ 17 สิงหาคม 2550 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น คำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองในปัญหาดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยถือว่าจำเลยมิได้ให้การโต้แย้งได้ว่าโจทก์โดยกรรมการสองคนลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญ มอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้โดยชอบ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาตามประเด็นพิพาทที่ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัย แต่เนื่องจากคู่ความต่างสืบพยานมาเสร็จสิ้นแล้ว ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียทีเดียว ไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยอีก ปัญหาว่าลายมือชื่อนายสมนึก ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจจากกรรมการโจทก์ตามหนังสือมอบอำนาจ ลงวันที่ 27 สิงหาคม 2550 กับลายมือชื่อนายสมนึก ตามหนังสือมอบอำนาจช่วง ลงวันที่ 16 มกราคม 2551 เป็นลายมือชื่อบุคคลเดียวกันหรือไม่ เห็นว่ามีลักษณะการเขียนและช่องไฟคล้ายคลึงกัน ประกอบกับจำเลยมิได้ถามค้านหรือนำสืบพยานให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายสมนึกลงลายมือชื่อในเอกสารทั้งสองฉบับ การมอบอำนาจช่วงให้ฟ้องคดีนี้เป็นไปโดยชอบ ข้อต่อสู้ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อโจทก์ยื่นคำฟ้องคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตรวจคำฟ้องและเอกสารท้ายคำฟ้องแล้ว ตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี และแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎร์ระบุชื่อและนามสกุลว่า นายสุรินทร์ มั่นประสิทธิ์ แตกต่างจากที่โจทก์บรรยายฟ้อง จึงให้โจทก์ตรวจสอบแล้วแถลงให้ศาลทราบเพื่อดำเนินการต่อไป หลังจากนั้น โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับชื่อจำเลยจากนายสุรินทร์ มั่นประเสริฐ เป็นนายสุรินทร์ มั่นประสิทธิ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและรับคำฟ้องไว้พิจารณา เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นคู่กรณีขับรถยนต์กระบะชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ จำเลยให้การรับว่าเป็นคู่กรณีดังกล่าวจริง การที่หนังสือมอบอำนาจ ระบุนามสกุลของจำเลยเป็นมั่นประเสริฐ จึงเป็นกรณีการพิมพ์ผิดพลาด มิใช่กรณีที่โจทก์ฟ้องผิดคน ถือว่าโจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยโดยชอบ แม้ว่าในภายหลังโจทก์ยื่นคำร้องขอเปลี่ยนหนังสือมอบอำนาจฉบับใหม่ที่ระบุชื่อและนามสกุลจำเลยโดยถูกต้อง แต่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตตามคำร้องดังกล่าว ก็ไม่มีผลให้การมอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยโดยชอบต้องเสียไป ข้อต่อสู้ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 287,371 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนด ค่าทนายความทั้งสามศาลรวม 15,000 บาท

Share