คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7041/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ซึ่งเป็นผู้อุทธรณ์มีหน้าที่ดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปตามกฎหมาย การที่โจทก์เพียงแต่อุทธรณ์ขึ้นไปเฉย ๆ โดยมิได้ร้องขอให้มีการรับรองอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ทั้ง ๆ ที่มีเวลาที่จะดำเนินการแต่โจทก์ก็หาดำเนินการไม่ ถึงแม้โจทก์จะอ้างว่าเหตุที่ไม่ดำเนินการเพราะโจทก์เข้าใจว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของโจทก์เอง จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นความบกพร่องของผู้อื่น จึงไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ต้องส่งสำนวนพร้อมอุทธรณ์ไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งอุทธรณ์ของโจทก์เสียใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 9053 ตำบลบางแก้ว อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 130 ไร่ 8 ตารางวา เมื่อปี 2538 จำเลยได้บุกรุกเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินบางส่วนของโจทก์คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้วแต่จำเลยเพิกถอน หากโจทก์ให้ผู้อื่นเช่าที่ดินดังกล่าวจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 2,000 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 9053 และห้ามเกี่ยวข้องอีก ให้จำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อประมาณ 80 ปี มาแล้ว ที่ดินพิพาทที่จำเลยครอบครองยังไม่มีเอกสารสิทธิทงทะเบียน ที่ดินเดิมเป็นของนายเจิ่น ไม่ทราบชื่อสกุล ได้ครอบครองด้วยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาหลายสิบปีต่อมานายเจิ่นยกที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยเพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัย หลังจากจำเลยรับการยกให้จำเลยก็เข้าครอบครองที่ดินต่อมาตลอดด้วยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมากว่าสิบปีโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ที่ดินพิพาทส่วนนี้จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองตามกฎหมาย หากที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 9053 ตำบลบางแก้ว อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ที่โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ โจทก์ก็ซื้อที่ดินมาโดยไม่สุจริตเนื่องจากโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตลอด โจทก์ไม่อาจเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้และโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่ดิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกา 49,750 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายในฎีกาข้อ 2.1 โดยโจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการไม่ชอบโดยโจทก์อ้างว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายมิใช่อุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง อันจะเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามนั้น พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมาย แล้วโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทโดยรู้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วจึงเป็นการได้มาโดยไม่สุจริต โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลย คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบจนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย ส่วนโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนกับได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์โดยพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์นั้นจึงเป็นการชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาในประการต่อไปว่า หากแม้อุทธรณ์ของโจทก์จะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงแต่ศาลชั้นต้นได้สั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ จึงเป็นความผิดพลาดของศาลชั้นต้นที่มิได้ทำการตรวจสอบอุทธรณ์ของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะส่งสำนวนคืนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งอุทธรณ์ของโจทก์เสียใหม่ว่า คดีของโจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เพื่อที่โจทก์จะได้ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนี้ในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันครอุทธรณ์ได้ ความบกพร่องในการสั่งรับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นไม่ควรเป็นเหตุตัดสิทธิโจทก์ในการขอรับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น เห็นว่า โจทก์ซึ่งเป็นผู้อุทธรณ์มีหน้าที่ดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปตามกฎหมาย การที่โจทก์เพียงแต่อุทธรณ์ขึ้นไปเฉย ๆ โดยมิได้ร้องขอให้มีการรับรองอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ทั้ง ๆ ที่มีเวลาที่จะดำเนินการแต่โจทก์ก็หาดำเนินการไม่ ถึงแม้โจทก์จะอ้างว่าเหตุที่ไม่ดำเนินการเพราะโจทก์เข้าใจว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของโจทก์เอง จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นความบกพร่องของผู้อื่น จึงไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ต้องส่งสำนวนพร้อมอุทธรณ์ไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งอุทธรณ์ของโจทก์เสียใหม่ ฎีกาของโจทก์ในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share