คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7040/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำร้องของจำเลยอ้างว่า ทนายจำเลยได้รับการแต่งตั้งเป็นทนายความเรื่องนี้ก่อนวันครบกำหนดยื่นคำให้การเพียงหนึ่งวันจึงไม่สามารถยื่นคำให้การภายในกำหนด ถือได้ว่าจำเลยได้แสดงเหตุให้ปรากฏแล้วว่า จำเลยมิได้ยื่นคำให้การเพราะเหตุใดแต่ตัวจำเลยกลับเพิ่งแต่งตั้งทนายความเมื่อพ้นระยะเวลาที่จำเลยจะยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคหนึ่ง แล้ว มิใช่แต่งตั้งทนายก่อนวันครบกำหนดยื่นคำให้การเพียงหนึ่งวันดังจำเลยอ้าง พฤติการณ์แห่งคดีแสดงให้เห็นว่าตัวจำเลยไม่สนใจต่อการดำเนินคดี จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยทราบนัดสืบพยานครั้งแรกโดยชอบแล้วไม่มาศาลและมิได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี แต่ศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีออกไปตามคำร้องของโจทก์และปิดหมายแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยก็มิได้ดำเนินการใด ๆ ทนายความของจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าตนติดว่าความที่ศาลอื่นในวันดังกล่าวทนายจำเลยกลับให้ตัวจำเลยนำคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การและคำร้องขอเลื่อนคดีมายื่นในวันนัด ซึ่งคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การก็มิได้แสดงเหตุให้ปรากฏ และก่อนหน้านี้จำเลยเคยยื่นคำร้องขออนุญาตขยายระยะเวลายื่นคำให้การมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่อนุญาต พฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางประวิงคดี ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน2,012,594.06 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปีจากต้นเงินจำนวน 1,922,122.85 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองไว้แก่โจทก์ และทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ

ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การโดยอ้างว่าไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ และทนายจำเลยขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่าติดว่าความที่ศาลจังหวัดราชบุรี ซึ่งนัดไว้ก่อนแล้ว

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การมิได้อ้างเหตุไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การตามกฎหมาย จึงให้ยกคำร้องและไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า คำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยได้แสดงเหตุที่ตนมิได้ยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา199 แล้ว หรือไม่ เห็นว่า ตามคำร้องดังกล่าวจำเลยอ้างว่าทนายจำเลยได้รับการแต่งตั้งเป็นทนายความเรื่องนี้ก่อนวันครบกำหนดยื่นคำให้การเพียงหนึ่งวัน จึงไม่สามารถยื่นคำให้การภายในกำหนดถือได้ว่าจำเลยได้แสดงเหตุให้ปรากฏแล้วว่าจำเลยมิได้ยื่นคำให้การเพราะเหตุใด แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าคดีนี้การปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2541 ตัวจำเลยกลับเพิ่งแต่งตั้งทนายความเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2541 ซึ่งพ้นระยะเวลาที่จำเลยจะยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคหนึ่ง แล้ว มิใช่แต่งตั้งทนายก่อนวันครบกำหนดยื่นคำให้การเพียงหนึ่งวันดังจำเลยอ้าง พฤติการณ์แห่งคดีแสดงให้เห็นว่าตัวจำเลยไม่สนใจต่อการดำเนินคดีจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การนั้นชอบแล้ว

จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีนั้นเป็นคำสั่งที่มิชอบ สำหรับปัญหานี้เห็นว่าศาลชั้นต้นนัดสืบพยานครั้งแรกวันที่ 7 พฤษภาคม 2541 จำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลและมิได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีแต่ศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีออกไปตามคำร้องของโจทก์เป็นวันที่ 23มิถุนายน 2541 และปิดหมายแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบแล้วเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2541 แต่จำเลยมิได้ดำเนินการใด ๆการที่ทนายความของจำเลยติดว่าความที่ศาลอื่นในวันดังกล่าวทนายจำเลยย่อมทราบดีอยู่แล้ว กลับให้ตัวจำเลยนำคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การมายื่น และยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีเข้ามาด้วยในวันเดียวกันนี้ ซึ่งคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การมิได้แสดงเหตุให้ปรากฏดังได้วินิจฉัยมาแล้วและก่อนหน้านี้จำเลยเคยยื่นคำร้องขออนุญาตขยายระยะเวลายื่นคำให้การมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากเป็นการยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายแล้ว ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่อนุญาต พฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางประวิงคดีดังนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีจึงชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share