คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 704/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยนำสืบพยานบุคคลว่าสัญญาจะซื้อขายที่ดินเป็นสัญญาประกันหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่ใช่สัญญาจะซื้อขายนั้น เป็นการนำสืบหักล้างว่าสัญญาจะซื้อขายไม่ถูกต้องและไม่มี ผลใช้บังคับตามกฎหมาย ไม่ใช่การนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไข ข้อความในเอกสาร จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสุดท้าย จำเลยร่วมรับโอนที่ดินพิพาทมาจากจำเลยหลังจากจำเลยถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้แล้วและช.ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ได้ทำหนังสือแจ้งเรื่องการซื้อขายที่ดินพิพาทไปยังจำเลยร่วมก่อนแล้ว การที่จำเลยร่วมรู้ถึงข้อความจริงอันเป็นทาง ให้โจทก์ต้องเสียเปรียบก่อนรับโอนจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำ โดยสุจริต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 946 ตำบลทุ่งกง อำเภอกาญจนดิษฐ์จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้แก่โจทก์วันทำสัญญาโจทก์ชำระราคาให้จำเลยครบถ้วนแล้ว จำเลยตกลงจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยผิดนัด ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ตกลงขายที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์และไม่ได้รับเงินจากโจทก์ สัญญาจะซื้อขายทำขึ้นเพื่อเป็นประกันหนี้ค่าสินค้าที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่มีเจตนาที่จะจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญา สัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางพรรณี วงศ์เจริญเข้ามาเป็นจำเลยร่วม อ้างว่าหลังจากจำเลยถูกฟ้องคดีนี้แล้วจำเลยได้สมคบกับนางพรรณีโอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นางพรรณีโดยฉ้อฉล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยร่วมซื้อและจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยกับจำเลยร่วม และให้จำเลยไปจดทะเบียนซื้อขายโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยหากจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ได้เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 400,000 บาท
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมประการแรกว่า จำเลยมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบเพื่อแสดงว่าจำเลยไม่ได้รับเงินตามที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายที่ดินรายนี้ และไม่มีเจตนาโอนที่ดินต่อกัน เพราะสัญญาทำขึ้นเพื่อเป็นเป็นการประกันหนี้หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยนำสืบพยานบุคคลว่าสัญญาเอกสารหมาย จ.1 เป็นสัญญาประกันหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ ไม่ใช่สัญญาจะซื้อขายที่ดินกันจริง ๆ นั้น เป็นการนำสืบหักล้างว่าสัญญาจะซื้อขายที่ดินตามฟ้องไม่ถูกต้องและไม่มีผลใช้บังคับตามกฎหมาย ไม่ใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารจึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสุดท้ายฎีกาข้อนี้ของจำเลยและจำเลยร่วมฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยร่วมซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยโดยสุจริตหรือไม่ เห็นว่า จำเลยร่วมรับโอนที่ดินพิพาทมาจากจำเลยหลังจากจำเลยถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้แล้ว และตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลลงวันที่ 4 ธันวาคม 2539 ทนายจำเลยและทนายจำเลยร่วมได้แถลงยอมรับข้อเท็จจริงว่านายชูชัย ศิวะวิชชกิจเป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ทำหนังสือแจ้งเรื่องซื้อขายที่ดินพิพาทไปยังจำเลยและจำเลยร่วมจริง หนังสือที่นายชูชัย ส่งไปถึงจำเลยร่วมลงวันที่ 30 ธันวาคม 2537 มีข้อความชัดเจนว่าจำเลยได้ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ก่อนหน้านี้แล้วตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 ดังนั้นจึงรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยร่วมรู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวอันเป็นทางให้โจทก์ต้องเสียเปรียบ ก่อนตกลงซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยการกระทำของจำเลยร่วม จึงถือไม่ได้ว่ากระทำไปโดยสุจริต ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share