คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7039/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยอุทธรณ์ว่า ถ้าศาลชั้นต้นให้จำเลยสืบพยานก็จะทราบข้อเท็จจริงในคดีที่จะทำให้จำเลยชนะคดีได้ โดยไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายให้ชัดแจ้ง เพียงแต่กล่าวอ้างถึงคำร้องจำเลยที่คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยาน จำเลยให้เป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์จำเลย ทั้งมิได้กล่าวรายละเอียดตามคำร้องคัดค้านดังกล่าวมาในอุทธรณ์ด้วย จึงไม่อาจจะนำเอารายละเอียดในคำร้องนั้นมาประกอบอุทธรณ์จำเลยให้ชัดแจ้งได้ อุทธรณ์จำเลยจึงเป็น อุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน208,650 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 208,650 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 27 มกราคม 2540 ซึ่งเป็นวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาแรกที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 มีว่าจำเลยที่ 1 อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยานจำเลยทั้งสามโดยชัดแจ้งแล้วหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าถ้าศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1สืบพยานก็จะทราบข้อเท็จจริงในคดีที่จะทำให้จำเลยที่ 1 ชนะคดีได้โดยไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายให้ชัดแจ้งเพียงแต่กล่าวอ้างถึงคำร้องจำเลยทั้งสามฉบับลงวันที่ 17 มิถุนายน 2541 ที่คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยานจำเลยทั้งสามให้เป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ทั้งมิได้กล่าวรายละเอียดตามคำร้องคัดค้านดังกล่าวมาในอุทธรณ์ด้วย จึงไม่อาจจะนำเอารายละเอียดในคำร้องนั้นมาประกอบอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ให้ชัดแจ้งดังจำเลยที่ 1 ฎีกา อุทธรณ์จำเลยที่ 1 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหานี้ชอบแล้ว

แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ผิดสัญญาและจำเลยที่ 1 ได้ต่อสัญญาจ้างโฆษณาฉบับที่สองตามฟ้อง ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share