แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเป็นโมฆียะเพราะผู้ร้องถูกกลฉ้อฉลของจำเลย เมื่อผู้ร้องบอกล้างแล้วนิติกรรมจึงเป็นโมฆะ คดีถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องซึ่งเป็นคู่ความย่อมผูกพันตามคำพิพากษาดังกล่าวตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคหนึ่ง การที่ผู้ร้องบอกล้างนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นโมฆียะเพราะถูกกลฉ้อฉลของจำเลย จึงไม่อาจยกเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งมิใช่คู่สัญญาซื้อขายและมิใช่คู่ความในคดีก่อนอันเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 160
คำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ของผู้ร้องมิได้บรรยายว่า โจทก์ทราบถึงกลฉ้อฉลของจำเลยอันจะเป็นประเด็นว่าโจทก์ไม่สุจริตอย่างไร จึงต้องถือว่าโจทก์เป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต ผู้ร้องจะยกเอาการบอกล้างนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างผู้ร้องกับจำเลย เป็นข้อต่อสู้โจทก์หาได้ไม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์ขอออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๓๖๖๗ พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ ๑ เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างมิใช่เป็นของจำเลยที่ ๑ แต่เป็นของผู้ร้อง เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน(ส.ค.๑) ของนายเขียว โภคพันธ์ สามีผู้ร้องเมื่อนายเขียวตายจึงตกได้แก่ผู้ร้องจำเลยที่ ๑ มาอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ ๒ บุตรผู้ร้องที่บ้านของผู้ร้อง ต่อมาปี๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ รับอาสาไปดำเนินการเปลี่ยนเอกสารสิทธิที่ดินพิพาทเป็น น.ส.๓ ก.หรือโฉนดที่ดินให้ผู้ร้องเนื่องจากผู้ร้องเขียนและอ่านหนังสือไม่ได้ จำเลยที่ ๑ พาผู้ร้องไปที่สำนักงานที่ดินอำเภอสิงหนคร และให้ผู้ร้องพิมพ์ลายนิ้วมือในเอกสารต่างๆ ๒ ครั้งต่อมาเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๓๙ ผู้ร้องทราบจากนางเอี่ยมศรี แซ่ฟง บุตรผู้ร้องอีกคนหนึ่งว่าที่ดินพิพาทมีชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของและจำนองไว้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จำกัด ผู้ร้องไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินแล้วจึงทราบว่า จำเลยที่ ๑หลอกลวงให้ผู้ร้องพิมพ์ลายนิ้วมือโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ ต่อมาผู้ร้องฟ้องจำเลยที่ ๑ ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทกลับคืนมาให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดภาระติดพัน คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้องขอ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า ที่ดินพิพาทคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่๓๖๖๗ เนื้อที่ ๑ งาน ๔๗ ตารางวา เดิมมีชื่อผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง และปรากฏหลักฐานทางทะเบียนว่า ผู้ร้องขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๓๘ต่อมาวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ชำระ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้ตามคำขอของโจทก์และเมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๔๐ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ระหว่างนั้นในวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๐ ผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ต่อศาลชั้นต้นขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ ดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ ว่า สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ ให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนกลับคืนให้ผู้ร้องโดยปลอดภาระติดพัน หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา แต่ไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต คดีถึงที่สุดแล้วตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๖๑๗/๒๕๔๐ ของศาลชั้นต้น
พิเคราะห์แล้ว ที่ผู้ร้องฎีกาข้อแรกว่า ศาลพิพากษาว่า นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะคดีถึงที่สุดแล้วย่อมใช้ยันโจทก์ได้ และผู้ร้องใช้สิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ โดยสุจริต มิใช่เป็นการสมคบกับจำเลยที่ ๑เพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ โจทก์ไม่มีสิทธินำยึดที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๖๑๗/๒๕๔๐ ของศาลชั้นต้น ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ ฉ้อฉลผู้ร้องให้ขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ ๑ ผู้ร้องบอกล้างโดยชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๘๑ แล้ว ถือว่านิติกรรมเป็นโมฆะแต่เริ่มแรกดังนี้ แสดงว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆียะเพราะผู้ร้องถูกกลฉ้อฉลของจำเลยที่ ๑ เมื่อผู้ร้องบอกล้างแล้วนิติกรรมจึงเป็นโมฆะ คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องซึ่งเป็นคู่ความย่อมผูกพันตามคำพิพากษาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๕ วรรคหนึ่ง การที่ผู้ร้องบอกล้างนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นโมฆียะเพราะถูกกลฉ้อฉลของจำเลยที่ ๑จึงไม่อาจยกเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งมิใช่คู่สัญญาซื้อขาย และมิใช่คู่ความในคดีก่อนอันเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา๑๖๐ คำร้องขอของผู้ร้องบรรยายไว้เพียงว่า ก่อนนำยึดที่ดินพิพาทโจทก์ทราบแล้วว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้อายัดที่ดินพิพาทไว้แล้วเท่านั้น มิได้บรรยายว่า โจทก์ทราบถึงกลฉ้อฉลของจำเลยที่ ๑ อันจะเป็นประเด็นว่า โจทก์ไม่สุจริตอย่างไร กรณีจึงต้องถือว่า โจทก์เป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต ผู้ร้องจะยกเอาการบอกล้างนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ เป็นข้อต่อสู้โจทก์หาได้ไม่
พิพากษายืน.