คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7036/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาจะถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องหาได้ไม่ เนื่องจากขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 ซึ่งบัญญัติว่า ในคดีขาดนัดศาลจะวินิจฉัยคดีให้คู่ความที่มาศาลชนะคดีต่อเมื่อศาลเห็นว่า ข้ออ้างของคู่ความเช่นว่านี้มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ดังนั้น การที่ศาลภาษีอากรกลางใช้ดุลพินิจชี้ขาดโดยพิจารณาจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาแล้ววินิจฉัยว่ายังไม่เพียงพอรับฟังได้ตามที่โจทก์อ้างมาทั้งหมด ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ตามบทบัญญัติดังกล่าว หาใช่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ไม่
คำว่า เครื่องหมายนั้นตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายความว่า สิ่งที่ทำขึ้นแสดงความหมายเพื่อจดจำหรือกำหนดรู้ ดังนั้น ย่อมหมายถึงสิ่งใด ๆ ก็ได้ที่ทำขึ้นเพื่อแสดงความหมายนั้น ซึ่งตามรูปลักษณ์ที่จำเลยทำขึ้นที่แสดงความหมายถึงรูปหัวใจ หากไม่พินิจดูอย่างละเอียดแล้วก็ไม่อาจทราบได้ว่ารูปดังกล่าวประกอบด้วยตัวอักษร C และ D ประกบกันอยู่ เนื่องจากตัวอักษรทั้งสองมีลักษณะไม่เหมือนกับตัวอักษรต่างประเทศ C และ D โดยทั่วไป แต่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นเพื่อแทนความหมายของรูปหัวใจ ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับว่า เป็นสัญลักษณ์ในการประกอบการค้าของจำเลยอันมีความหมายทำนองเดียวกับคำว่าเครื่องหมายนั่นเองป้ายโฆษณาของจำเลยที่ใช้อักษรย่อว่า “CD” เขียนเป็นรูปลักษณะคล้ายหัวใจและมีข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า “CATHAYDEPARTMENTSTORE” ทับข้อความภาษาไทยว่า “คาเธ่ย์ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์”และ”ซุปเปอร์มาร์เก็ตเปิดบริการ ถึง 4 ทุ่ม” ต่อท้ายอักษรย่อดังกล่าว จึงเป็นป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศและเครื่องหมายอื่น ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีป้ายประเภท (2) ท้ายพระราชบัญญัติป้าย พ.ศ.2510
คดีนี้จำเลยได้รับแจ้งการประเมินเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2536 ครบกำหนดชำระภาษีป้ายในวันที่ 7 กรกฎาคม 2536 การเสียเงินเพิ่มร้อยละ 2 ตามพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 มาตรา 25(3) จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2536 เป็นต้นไป มิใช่เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2536 ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 และ 29 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5),246 และ 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดชำระค่าภาษีป้ายพร้อมเงินเพิ่ม 533,198.40 บาท และให้จำเลยชำระเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากต้นเงิน317,380 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระภาษีป้าย 226,440 บาท แก่โจทก์กับให้จำเลยชำระเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน นับแต่วันที่ 22มิถุนายน 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จ

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการประเภทห้างสรรพสินค้าโดยใช้ชื่อทางการค้าว่า “ห้างคาเธ่ย์ ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์” มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “CATHAY DEPARTMENT STORE” ใช้ชื่ออักษรย่อว่า “CD” ซึ่งเขียนเป็นลักษณะคล้ายรูปหัวใจเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2536 จำเลยยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป.1) ประจำปี 2536ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์จำนวน 14 รายการ รวม 19 ป้าย ตามเอกสารหมาย จ.1แผ่นที่ 2 พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์พิจารณาแล้วเห็นชอบตามที่จำเลยสำแดงมาเว้นแต่ป้ายตามรายการที่ 1, 3 และ 5 โดยเห็นว่าเป็นป้ายประเภทที่ 3(ข) ตามบัญชีอัตราภาษีป้ายท้ายพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามที่โจทก์อุทธรณ์ประการแรกว่าศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงขัดต่อกฎหมาย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาจะถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องหาได้ไม่เนื่องจากขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 ซึ่งบัญญัติไว้มีใจความว่าในคดีขาดนัดศาลจะวินิจฉัยคดีให้คู่ความที่มาศาลชนะคดีต่อเมื่อศาลเห็นว่าข้ออ้างของคู่ความเช่นว่านี้มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย เพราะฉะนั้นการที่ศาลภาษีอากรกลางใช้ดุลพินิจชี้ขาดโดยพิจารณาจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาแล้ววินิจฉัยว่ายังไม่เพียงพอรับฟังได้ตามที่โจทก์อ้างมาทั้งหมด ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ตามบทบัญญัติดังกล่าว หาใช่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ดังที่โจทก์อุทธรณ์ไม่

ปัญหาต่อไปเกี่ยวกับอักษรย่อภาษาอังกฤษ “CD” เป็นเครื่องหมายหรืออักษรต่างประเทศ เห็นว่า คำว่า เครื่องหมายนั้นตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2525 หมายความว่า สิ่งที่ทำขึ้นแสดงความหมายเพื่อจดจำหรือกำหนดรู้ ดังนั้นย่อมหมายถึงสิ่งใด ๆ ก็ได้ที่ทำขึ้นเพื่อแสดงความหมายนั้น ซึ่งตามรูปลักษณ์ที่จำเลยทำขึ้นดังภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.1 รูปที่ 15 และ 16 นั้น แสดงความหมายถึงรูปหัวใจหากไม่พินิจดูอย่างละเอียดแล้วก็ไม่อาจทราบได้ว่ารูปดังกล่าวประกอบด้วยตัวอักษร Cและ D ประกบกันอยู่ เนื่องจากตัวอักษรทั้งสองมีลักษณะไม่เหมือนกับตัวอักษรต่างประเทศ C และ D โดยทั่วไป แต่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นเพื่อแทนความหมายของรูปหัวใจซึ่งตามคำฟ้องและคำเบิกความของนายเข็มชาติ เขมานุกรม พยานโจทก์ผู้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่มีหน้าที่จัดเก็บรายได้ของโจทก์ก็ยอมรับว่า เป็นสัญลักษณ์ในการประกอบการค้าของจำเลยอันมีความหมายทำนองเดียวกับคำว่าเครื่องหมายนั่นเอง ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า ป้ายโฆษณาของจำเลยตามรายการที่ 3 เป็นป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศ และเครื่องหมายอื่น ส่วนตามรายการที่ 5 เป็นป้ายที่มีอักษรไทยปนกับเครื่องหมายอื่นตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีป้ายประเภท (2) ท้ายพระราชบัญญัติป้าย พ.ศ. 2510 แล้วให้จำเลยรับผิดชำระค่าภาษีป้ายเพียง 226,440 บาท นั้นชอบแล้วแต่ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยให้จำเลยชำระเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน หรือเศษของเดือน นับแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จนั้นไม่ชอบ เพราะพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 มาตรา 19 กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้ายชำระภาษีป้ายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน คดีนี้จำเลยได้รับแจ้งการประเมินเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2536 ครบกำหนดชำระภาษีป้ายในวันที่ 7 กรกฎาคม 2536 การเสียเงินเพิ่มร้อยละ 2 ตามพระราชบัญญัติภาษีป้ายพ.ศ. 2510 มาตรา 25(3) จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2536 เป็นต้นไป มิใช่เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2536 ตามคำวินิจฉัยของศาลภาษีอากรกลาง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 และ 29 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5), 246 และ 247

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยเสียเงินเพิ่มร้อยละ 2 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนนับตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง

Share