คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7035/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรากับความผิดฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน เป็นความผิดต่างกรรมกัน แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ ศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่งได้ เพราะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 แต่ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 189, 276, 289 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 57, 91 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก, 289 (7) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาอันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 1 ปี คำรับสารภาพในชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนและคำให้การในชั้นพิจารณาของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา จำคุกตลอดชีวิต ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 8 เดือน เมื่อรวมโทษของจำเลยที่ 1 ทุกกระทงแล้ว คงให้ลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง มีคนร้ายหลายคนร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราและฆ่านางสาว ก. ผู้ตาย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้ตายตามฟ้องโจทก์หรือไม่ คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 คงมีแต่พยานแวดล้อมได้แก่นางสาวฑัชริฎา มุงคุณ นางสาววารี ทรงถ้ำ และนางสาวนิภาพร พันธ์ไชย ซึ่งเป็นเพื่อนของผู้ตายเบิกความตรงกันสรุปได้ว่า ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 24 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ที่ 2 นายอุเทนหรือเหน่งและนายโขงได้มาร่วมรับประทานอาหารและดื่มสุรากับผู้ตายและเพื่อนที่บ้านของนายสิทธิพลหรือกล้วย รัตนะ ระหว่างนั้นจำเลยที่ 1 และนายอุเทนนั่งขนาบข้างผู้ตายพยายามมอมสุราและมีพฤติกรรมลวนลามผู้ตาย ต่อมาเวลาประมวล 3 ถึง 4 นาฬิกาของวันเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 และนายอุเทนได้ขับรถจักรยานยนต์พาผู้ตายออกจากบ้านนายสิทธิพลแล้วหายไป จนกระทั่งวันที่ 25 พฤศจิกายน 2542 ได้พบศพผู้ตายมีร่องรอยถูกข่มขืนกระทำชำเราและถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตาย นอกจากนี้โจทก์มีนายพรไพร สิทธิ์เสรี นายสิทธิพลหรือกล้วย รัตนะ นายเกรียงไกรหรือเด็ด อรนันท์เบิกความทำนองเดียวกันว่า ในคืนเกิดเหตุเมื่อพยานทราบว่าจำเลยที่ 1 และนายอุเทนขับรถจักรยานยนต์พาผู้ตายออกจากบ้านไป พยานเป็นห่วง โดยเฉพาะนายพงไพรเบิกความว่า จำเลยที่ 1 กับนายอุเทนชอบพาผู้หญิงไปข่มขืน พยานได้ตามหาจนกระทั่งเวลาประมาณ 5 นาฬิกา พยานพบนายอุเทนที่ปั๊มน้ำมัน ป.ต.ท. นายอุเทนบอกว่าผู้ตายกระโดดรถหนีไปเมื่อเวลาประมาณ 4 นาฬิกา ส่วนนายสิทธิพลเบิกความว่า เวลาประมาณ 6 นาฬิกา พยานไปที่บ้านนายโหน่ง พบจำเลยที่ 1 และนายอุเทนนอนอยู่ จำเลยที่ 1 บอกว่านำผู้ตายไปส่งที่บ้านแล้ว เห็นว่า ตามคำพยานโจทก์ดังกล่าวและทางนำสืบของจำเลยที่ 1 ได้ความตรงกันว่าจำเลยที่ 1 และนายอุเทนได้ขับรถจักรยานยนต์พาผู้ตายออกจากบ้านนายสิทธิพล และพาผู้ตายไปตรงที่เกิดเหตุหลังจากที่ผู้ตายหายไป เมื่อเพื่อนของผู้ตายไปสอบถามจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 พยายามพูดบ่ายเบี่ยงอ้างว่าพาผู้ตายกลับไปส่งที่บ้านแล้ว ในชั้นจับกุมได้ความจากสิบตำรวจเอกทิวา ประภาสโนบล ผู้จับกุมว่าจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่าร่วมกับนายอุเทนข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้ตาย ทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 รับว่าได้ขับรถจักรยานยนต์พานายอุเทนและผู้ตายไปบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งพบเสื้อผ้าของผู้ตาย เพียงแต่อ้างว่านายอุเทนแต่ผู้เดียวที่พาผู้ตายเข้าไปข่มขืนกระทำชำเรา เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 และนายอุเทนได้พยายามมอมสุราผู้ตายและลวนลามทางเพศขณะที่นั่งดื่มสุรา จึงเป็นข้อบ่งชี้ชัดว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาที่จะล่วงละเมิดทางเพศผู้ตายมาตั้งแต่แรก นอกจากนี้ตามคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ตอบอัยการโจทก์รับว่าเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุนายอุเทนได้ดึงผู้ตายลงจากรถ แล้วผู้ตายขัดขืนนายอุเทนตบผู้ตาย 2 ถึง 3 ครั้ง แล้วนายอุเทนจิกผมผู้ตายเข้าไปในที่นาของนายวันคำอีกทั้งยังได้ยินนายอุเทนพูดอีกว่า “มึงจะหนีไปไหนแถวนี้ถิ่นกู มึงหนีไม่รอดหรอก” โดยพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยที่ 1 จึงต้องทราบดีว่าเกิดเหตุร้ายแก่ผู้ตาย ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมกระทำผิดก็น่าจะห้ามปรามและเข้าช่วยเหลือผู้ตาย ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าจำเลยที่ 1 ไม่ทราบว่านายอุเทนพาผู้ตายไปที่กระท่อมนาและไม่มีส่วนรู้เห็นในการข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้ตายเพื่อปกปิดความผิดนั้น ขัดต่อเหตุผลไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง หลังเกิดเหตุเพื่อนผู้ตายมาสอบถามจำเลยที่ 1 กลับปกปิดความจริงโดยบอกว่าพาผู้ตายไปส่งที่บ้านแล้ว และได้หลบหนีไปอยู่จังหวัดอื่นอันเป็นข้อพิรุธ เมื่อพบศพผู้ตายซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณที่พบเสื้อผ้าของผู้ตายประมาณ 400 เมตร นายแพทย์บัญชา สรรพโส และพันตำรวจตรีเอกชัย นาถึง ผู้ร่วมกันชันสูตรพลิกศพเบิกความประกอบกับผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์และรายงานการชันสูตรพลิกศพตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 ว่า จากการตรวจสภาพศพผู้ตายเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 2 วัน ผู้ตายถูกข่มขืนกระทำชำเราเสียชีวิตจากการถูกตีด้วยของแข็งไม่มีคมที่ศีรษะอย่างรุนแรงและสรุปได้ว่าเสียชีวิตก่อนที่จะจมน้ำโดยระบุวันเวลาที่ตายเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2542 เวลา 4 นาฬิกาเศษ และวันเวลาที่พบศพคือวันที่ 25 พฤศจิกายน 2542 เวลา 7.30 นาฬิกา ฉะนั้น วันเวลาที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นช่วงเวลาที่จำเลยที่ 1 และนายอุเทนอยู่ร่วมกับผู้ตายในที่เกิดเหตุ และไม่มีเหตุที่จะให้คิดได้ว่าจะมีผู้อื่นได้ข่มขืนกระทำเราและฆ่าผู้ตาย พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีของโจทก์มีเหตุผลและน้ำหนักเพียงพอที่ชี้ชัดว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกข่มขืนและฆ่าผู้ตายจริง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (7) อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนนั้นไม่ถูกต้อง เพราะการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรากับความผิดฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน เป็นความผิดต่างกรรมกัน แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ ศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่งได้ เพราะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 แต่ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรากระทงหนึ่ง และฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนกระทงหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share