คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 703/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มาตรา 112 เบญจแห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 เป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจฝ่ายบริหารมีอำนาจกักของในกรณีที่ผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกค้างชำระค่าอากรเพื่อประโยชน์ในอันที่จะจัดเก็บภาษีอากรได้รวดเร็วสมความมุ่งหมาย แม้จะไม่ใช่สินค้ารายเดียวกันกับที่ยังค้างชำระค่าอากรอยู่ก็ตามดังนั้น เมื่อโจทก์ต้องชำระภาษีอากรที่ถูกเรียกเก็บเพิ่มสำหรับสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาครั้งก่อนและรับของไปแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมชำระ จำเลยจึงไม่ยอมรับตรวจสอบรับรองตามระเบียบพิธีการศุลกากรสำหรับสินค้ารายใหม่ที่โจทก์นำเข้า เพื่อโจทก์จะได้เสียภาษีอากรที่ยังไม่ได้ชำระในส่วนที่ขาดไปสำหรับการนำเข้าครั้งก่อนได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2529 โจทก์ได้นำสินค้าเวชภัณฑ์ คือยาจีนสำเร็จรูปจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรจำนวน 73 หีบ เรือเข้าถึงท่ากรุงเทพฯ วันที่ 15 พฤษภาคม 2529 โจทก์ชำระเงินค่าสินค้าแล้วได้ยื่นใบขนสินค้าให้พนักงานของจำเลยตรวจสอบรับรองตามระเบียบพิธีการศุลกากรเพื่อโจทก์จะได้ชำระภาษีแล้วรับของจากจำเลย แต่พนักงานของจำเลยปฏิเสธไม่ยอมรับใบขนสินค้าของโจทก์เพื่อตรวจสอบและเก็บภาษีอากรตามกฎหมาย โดยอ้างว่าโจทก์ค้างค่าภาษีอากรสำหรับของที่โจทก์นำเข้ามาตามใบขนสินค้าเลขที่ 119 – 1868 ซึ่งนำเข้าเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน2519 ทำให้โจทก์ไม่สามารถยื่นใบขนสินค้าชำระภาษีนำของออกได้ การกระทำของจำเลยขัดต่อพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469มาตรา 3 มาตรา 10 มาตรา 10 ทวิ มาตรา 113 และมาตรา 40 ทำให้โจทก์เสียหายจึงฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้รับปฏิบัติพิธีการศุลกากรตรวจปล่อยส่งมอบสินค้าแก่โจทก์ให้จำเลยออกคำสั่งยกเว้นค่าเช่าโกดังสำหรับสินค้าตามระเบียบและข้อตกลงที่มีอยู่กับการท่าเรือแห่งประเทศไทย
จำเลยให้การว่า จำเลยมีหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรตามพระราชบัญญัติศุลกากรและตามกฎหมายอื่น เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2529จำเลยได้มีคำสั่งให้กองพิธีการและประเมินอากร ด่านศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพฯ และด่านศุลกากรต่างๆ ของจำเลยกักของใดๆของโจทก์ซึ่งกำลังผ่านพิธีการศุลกากรโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา112 เบญจ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 ทั้งนี้เพราะเจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจพบว่าก่อนคดีนี้โจทก์ได้นำสินค้าอื่นเข้ามาในราชอาณาจักรและได้สำแดงราคาสินค้าในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า เลขที่ 119 – 1868 ต่ำกว่าราคาที่ซื้อขายกันแท้จริง ทำให้อากรขาดไป ฉะนั้น จำเลยจึงได้กักสินค้าใดๆ ของโจทก์ไว้ในคดีนี้อันเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งกระทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จะต้องชำระค่าภาษีอากรในส่วนที่ขาดดังกล่าวให้ครบถ้วนเสียก่อน จึงมีสิทธิที่จะปฏิบัติพิธีการศุลกากรในสินค้ารายใหม่ แล้วจำเลยจึงจะตรวจปล่อยสินค้ารายใหม่ได้ นอกจากนี้โจทก์ยังมีภาระต้องชำระค่าเช่าโกดังเก็บสินค้าของโจทก์ในระหว่างที่โจทก์จงใจฝ่าฝืนไม่ชำระอากรส่วนที่ขาดให้จำเลยด้วย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ขอให้จำเลยรับปฏิบัติพิธีการศุลกากรปล่อยสินค้าแก่โจทก์
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติตามที่โจทก์จำเลยรับกันว่า โจทก์ได้นำยาจีนสำเร็จรูปจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรจำนวน 73 หีบ เมื่อวันที่ 15พฤษภาคม 2529 โจทก์ชำระเงินค่าสินค้าดังกล่าวแล้วจึงไปยื่นใบขนสินค้าให้พนักงานของจำเลยรับรองตามระเบียบพิธีการศุลกากร เพื่อชำระภาษีและรับของจากจำเลย แต่พนักงานของจำเลยปฏิเสธไม่ยอมรับใบขนสินค้าของโจทก์เพื่อตรวจสอบและเก็บภาษีอากรตามกฎหมาย โดยอ้างว่า โจทก์ค้างชำระภาษีอากรสำหรับสินค้าที่โจทก์ได้นำเข้ามาตามใบขนเลขที่ 119 – 1868 ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2519 ซึ่งสินค้าของโจทก์ดังกล่าวคือเขากวางอ่อนติดหัวกะโหลกจำนวน 12 หีบห่อ ซึ่งโจทก์ได้ชำระภาษีอากรโดยเสียอากรขาเข้าเป็นเงิน 193,648.68 บาท ภาษีการค้า 13,692.32 บาท และภาษีบำรุงเทศบาล 1,369.23 บาท ไว้แล้ว ต่อมาภายหลังจำเลยอ้างว่า โจทก์สำแดงราคาขาดไปโจทก์จะต้องเสียภาษีอากรเพิ่มเติมอีกรวมทั้งสิ้น 723,000.43 บาท จำเลยทวงถามแล้ว โจทก์ไม่ยอมชำระ จำเลยจึงมีคำสั่งให้ด่านศุลกากรต่างๆ ของจำเลยกักของใดๆ ของโจทก์ซึ่งกำลังผ่านพิธีการศุลกากร เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2529 โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยขอยื่นใบขนสินค้าผ่านพิธีการศุลกากรเพื่อนำของออกจากอารักขาศุลกากรอีกจำเลยก็ไม่ยอม
คดีมีปัญหาในชั้นนี้เพียงว่า จำเลยมีอำนาจกักสินค้าของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามความในมาตรา 112 เบญจ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 นั้น เป็นบทบัญญัติที่ให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจกักของในกรณีที่ผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกค้างชำระค่าอากร ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในอันที่จะจัดเก็บภาษีอากรได้รวดเร็วสมความมุ่งหมายแม้จะไม่ใช่สินค้ารายเดียวกันกับที่ยังค้างชำระค่าอากรอยู่ก็ตาม การที่จำเลยใช้อำนาจกักสินค้าเวชภัณฑ์ยาจีนสำเร็จรูปจำนวน 73 หีบ ของโจทก์ไว้โดยอ้างว่าโจทก์จะต้องชำระภาษีอากรที่จำเลยเรียกเก็บเพิ่มสำหรับสินค้าเขากวางอ่อนติดหัวกะโหลกที่โจทก์ได้นำเข้าเมื่อวันที่10 พฤศจิกายน 2519 และรับของไปแล้วให้จำเลยเสียก่อนจึงจะปล่อยสินค้าตามฟ้องให้โจทก์ จำเลยจึงมีอำนาจทำได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 112 เบญจ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 329 ลงวันที่ 13ธันวาคม 2515 ข้อ 15 ดังนั้นการที่โจทก์ยื่นใบขนสินค้ารายใหม่ซึ่งได้ชำระราคาแล้วเพื่อให้พนักงานของจำเลยตรวจสอบรับรองตามระเบียบพิธีการศุลกากรเพื่อโจทก์จะได้เสียภาษีอากรตามฟ้องโดยที่โจทก์ยังมิได้ชำระค่าภาษีอากรในส่วนที่ขาดไปดังกล่าวให้ครบถ้วนเสียก่อน จำเลยไม่ยอมรับ จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share