คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้รับเงินตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินไปแล้ว แต่ทางพิจารณากลับนำสืบว่าไม่มีการจ่ายเงินกัน แต่โจทก์โอนเงินเข้าบัญชีแทน ดังนี้ การนำสืบของโจทก์เป็นการนำสืบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการรับเงินของจำเลย ไม่เป็นการนำสืบข้อเท็จจริงต่างฟ้อง ไม่ต้องห้ามการนำสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองมีว่า ผู้จำนองได้จำนองเป็นประกันหนี้ซึ่งผู้จำนองเป็นหนี้อยู่แล้วและในเวลานี้หรือในเวลาใดเวลาหนึ่งในภายหน้า ในเรื่องการกู้ยืมเงิน การเบิกเงินเกินบัญชีและหนี้ในลักษณะอื่น ๆ ทุกประเภทที่เป็นหนี้แก่ผู้รับจำนองทั้งหมด รวมทั้งการขอรับเงินสินเชื่อประเภทหมุนเวียนอันเป็นประเพณีการให้สินเชื่อของผู้รับจำนอง ซึ่งผู้รับจำนองทราบดีอยู่แล้วด้วย รวมวงเงิน10,000,000 บาท ดังนี้ การจำนองย่อมมีผลเป็นการประกันหนี้ที่จำเลยก่อขึ้นและเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ไม่ว่าจะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นแล้ว หรือหนี้ที่เกิดขึ้นในอนาคตในวงเงินไม่เกิน 10,000,000 บาท สัญญาค้ำประกันมีข้อตกลงระบุถึงลักษณะของหนี้ที่ค้ำประกันโดยไม่มีข้อตกลงว่าค้ำประกันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินคราวใดคราวหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อฟังว่าหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินที่จำเลยค้ำประกันยังไม่ได้มีการชำระ จำเลยไม่หลุดพ้นจากความรับผิด แม้จำเลยได้มีหนังสือบอกเลิกการค้าประกันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน และโจทก์ได้รับหนังสือบอกเลิกแล้วแต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยบอกเลิก จำเลยจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2528 จำเลยที่ 1 นำตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายลดกับโจทก์สาขาถนนมิตรภาพ และได้รับเงินไปแล้วจำนวน 4,000,000 บาทโดยโจทก์โอนเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1สัญญาว่า จะใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2528ในการนี้จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คลงวันที่ 15 ตุลาคม 2528 จำนวนเงิน4,000,000 บาท ให้แก่โจทก์ไว้เพื่อเป็นการประกันหนี้ดังกล่าวจำเลยที่ 1 นำที่ดินโฉนดที่ 1072 และโฉนดที่ 16815 มาจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 เมื่อครบกำหนดโจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยทั้งหกจึงต้องรับผิดใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 4,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งหกเพิกเฉย จำเลยทั้งหกมีหนี้ที่ต้องรับผิดต่อโจทก์จำนวน4,527,397.25 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย หากจำเลยทั้งหกไม่ชำระขอบังคับจำนองโดยยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งหกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งหกให้การว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2525 จำเลยที่ 1ขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 8 ฉบับ เป็นเงินจำนวน4,000,000 บาท แต่เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวถึงกำหนดไม่ได้มีการชำระเงิน จำเลยที่ 1 ต้องชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ตลอดมาและมีการทำตั๋วสัญญาใช้เงินขึ้นใหม่ทุกเดือน เดือนละ 8 ฉบับ เป็นเงินจำนวน4,000,000 บาท ต่อมามีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 โจทก์ก็ยังเรียกให้บุคคลทั้งสองที่ลงชื่อเอกสารท้ายฟ้องไปลงชื่อในตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ใหม่ จนถึงตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิด การจำนองที่ดินตามฟ้องไม่ผูกพันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้อง เพราะหนี้จำนองจำนวน 10,000,000บาท ทำขึ้นเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2525 จึงไม่มีผลผูกพันหนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น การขายลดตั๋วเงินตามฟ้องทำขึ้นเมื่อวันที่8 ตุลาคม 2528 โดยมิได้มีการจดทะเบียนจำนองเพื่อให้รับผิดหนี้รายนี้ด้วย โจทก์ไม่อาจขอให้บังคับจำนองเพื่อชำระหนี้ตามฟ้องได้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 โดยมีเจตนาให้ผูกพันสำหรับหนี้การขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินที่ทำขึ้นเมื่อวันที่19 สิงหาคม 2525 และหนี้ดังกล่าวระงับไปแล้ว จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6หาต้องรับผิดหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องไม่ ในระหว่างปี 2526ถึง 2528 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 มีหนังสือแจ้งแก่โจทก์ ขอยกเลิกการค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 และโจทก์ได้รับหนังสือแล้วการขอยกเลิกกระทำก่อนวันที่ 8 ตุลาคม 2528 ซึ่งมีการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 จึงไม่ต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน เพราะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากการขอยกเลิกการค้ำประกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินจำนวน4,527,397.25 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ถ้าจำเลยทั้งหกไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งหกออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยทั้งหกที่ว่า โจทก์นำสืบข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องโดยกล่าวในคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้รับเงินตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินไปแล้ว แต่ทางพิจารณากลับนำสืบว่าไม่มีการจ่ายเงินกันแต่โจทก์โอนเงินเข้าบัญชีแทน ศาลฎีกาเห็นว่าการนำสืบของโจทก์เป็นการนำสืบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการรับเงินของจำเลยที่ 1 แต่ก็ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับเงินตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินไปแล้ว ทางพิจารณาที่โจทก์นำสืบมาจึงไม่แตกต่างกับคำฟ้องและไม่ต้องห้ามการนำสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ตามที่จำเลยทั้งหกฎีกาแต่อย่างใด
จำเลยทั้งหกฎีกาต่อไปว่า สัญญาจำนองและค้ำประกันไม่ครอบคลุมถึงการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทเอกสารหมาย จ.22 ถึง จ.29 เพราะเป็นการจำนองประกันหนี้และค้ำประกันหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินเมื่อคราววันที่ 19 สิงหาคม 2525 เท่านั้น เห็นว่าตามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.33 ข้อ 1 มีข้อตกลงว่า ผู้จำนองได้จำนองเป็นประกันหนี้ซึ่งผู้จำนองเป็นหนี้อยู่แล้ว และในเวลานี้หรือในเวลาใดเวลาหนึ่งในภายหน้าในเรื่องการกู้ยืมเงินการเบิกเงินเกินบัญชีและหนี้ในลักษณะอื่น ๆ ทุกประเภทที่เป็นหนี้แก่ผู้รับจำนองทั้งหมด รวมทั้งการขอรับสินเชื่อประเภทหมุนเวียนอันเป็นประเพณีการให้สินเชื่อของผู้รับจำนอง ซึ่งผู้รับจำนองทราบดีอยู่แล้วด้วย รวมวงเงิน 10,000,000 บาท ดังนั้นตามข้อตกลงดังกล่าวการจำนองย่อมมีผลเป็นการประกันหนี้ที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้น และเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ไม่ว่าจะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 สิงหาคม2525 หรือหนี้ที่เกิดขึ้นในอนาคตในวงเงินไม่เกิน 10,000,000 บาทการจำนองจึงครอบคลุมถึงหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2528 ตามเอกสารหมาย จ.30 และตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.22 ถึง จ.29 ส่วนสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2ถึงที่ 6 ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.17 ถึง จ.21นั้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ได้ทำข้อตกลงกับโจทก์อย่างเดียวกันในสัญญาค้ำประกันข้อ 1 ว่า โดยการที่ธนาคารโจทก์ ก. ออกหนังสือสินเชื่อทางการค้า ข. รับซื้อลดตั๋วเงิน ค. ยอมให้ออกทรัสต์รีซีทง. ออกชิปปิ้งการันตี จ. ให้กู้โดยวิธีเบิกเงินเกินบัญชีฉ. ให้เบิกเงินล่วงหน้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่ลูกหนี้(จำเลยที่ 1) นั้น หากปรากฏว่าลูกหนี้ปฏิบัติผิดสัญญาหรือเงื่อนไขของการอำนวยสินเชื่อดังกล่าวและไม่ชำระหนี้อันเกิดจากสินเชื่อดังกล่าวหรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคารไม่ว่าจะเป็นในรายการหนึ่งรายการใดข้างต้นหรือทุกรายการ ผู้ค้ำประกันตกลงยอมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้และจะชำระหนี้เงินต้นเป็นจำนวนเงิน 4,000,000 บาท รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทนและค่าภาระติดพันอื่น หนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินจึงอยู่ในหนี้ที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้ตามข้อตกลงข้อ 1 ข. คงมีปัญหาว่าสัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นการค้ำประกันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินเฉพาะคราวที่มีการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2524 หรือไม่เห็นว่าตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.17 ถึง จ.21 คงมีข้อตกลงในข้อ 1 ที่ระบุถึงลักษณะของหนี้ที่ค้ำประกันไว้เท่านั้นตามข้อ 1 ดังกล่าวไม่มีข้อตกลงว่าค้ำประกันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินคราวใดคราวหนึ่งโดยเฉพาะทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อจำเลยที่ 1 นำตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายลดให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 19สิงหาคม 2525 แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ได้ชำระเงินให้แก่โจทก์เลยจึงมีการออกตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายลดให้แก่โจทก์เดือนละ 2 ครั้งเพื่อเป็นการตัดทอนบัญชีและคิดดอกเบี้ยกัน ตั๋วสัญญาใช้เงินตามเอกสารหมาย จ.22 ถึง จ.29 และสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินตามเอกสารหมาย จ.30 ก็มีที่มาจากการปฏิบัติดังกล่าว จำเลยที่ 4ที่ 5 ซึ่งเบิกความเป็นพยานของจำเลยทั้งหกก็ยอมรับว่ายังไม่มีการชำระหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 4,000,000 บาทเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2525 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า สัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินตามเอกสารหมาย จ.30และตั๋วสัญญาใช้เงินตามเอกสารหมาย จ.17 ถึง จ.21 จำเลยที่ 1ได้ทำขึ้นเพื่อแทนตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1 ได้นำมาขายลดให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2525 โดยจำเลยที่ 1 ได้สั่งจ่ายเช็คตามเอกสารหมาย จ.31 เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2525 ที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ค้ำประกันนั้นจึงยังไม่ได้มีการชำระ จำเลยที่ 2ถึงที่ 6 จึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด แม้จำเลยที่ 5 ได้มีหนังสือบอกเลิกการค้ำประกันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินเมื่อวันที่ 20กันยายน 2528 และโจทก์ได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2528ไม่ปรากฏว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 5 บอกเลิก แม้โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 ขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินอีกเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2528สัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวก็ได้ทำขึ้นเพื่อแทนสัญญาขายลดตั๋วเงินที่ทำขึ้นตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2525 หาใช่เป็นหนี้ที่กระทำลงภายหลังคำบอกกล่าวของจำเลยที่ 5 ไม่ จำเลยที่ 5จึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด
พิพากษายืน

Share