แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องโจทก์เท่านั้นจำเลยไม่มีสิทธิ์อ้างข้อเท็จจริงเป็นประเด็นขึ้นมาใหม่คงมีสิทธิเพียงสาบานตนให้การเป็นพยานเองและถามค้านพยานโจทก์เพื่อที่จะหักล้างพยานหลักฐานโจทก์เท่านั้นการเบิกความของจำเลยในข้อที่ไม่ได้เป็นประเด็นในคดีจึงรับฟังไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2524 โจทก์ยินยอมให้จำเลยเข้าทำเหมืองแร่บนที่ดินของโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) สารบบเลขที่ 51, 53, 47, 67, 58, 12 (หรือ 105), 50,68, 25, 30, 67 หรือ 3 และ 10 หรือทะเบียนที่ดิน (แบบหมายเลข 3)สารบบเล่ม 1 ก.รวม 12 แปลงตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลพะโต๊ะกิ่งอำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร จนกระทั่งถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2533อันเป็นวันหมดอายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ เลขที่ 11514/8971 ของจำเลยโดยโจทก์ได้มอบต้นฉบับเอกสารสิทธิหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้ง12 แปลงข้างต้น ให้แก่จำเลยเพื่อนำไปประกอบการดำเนินการขอต่ออายุประทานบัตรต่อทรัพยากรธรณีจังหวัดชุมพร โดยมีข้อตกลงว่าเมื่อดำเนินการเสร็จแล้วให้นำต้นฉบับเอกสารมาคืน แต่เมื่อเดือนธันวาคม 2524 จำเลยได้ดำเนินการเสร็จสิ้นและรับต้นฉบับเอกสารดังกล่าว คืนจากทรัพยากรธรณีจังหวัดชุมพรแล้ว จำเลยไม่นำเอกสารดังกล่าวคืนโจทก์ ก่อนฟ้องโจทก์มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอบังคับให้จำเลยส่งคืนต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) สารบบเลขที่ 51, 53, 47, 67, 58, 12(หรือ 105), 50, 68, 25, 30, 67 (หรือ 3) และ 10 หรือทะเบียนที่ดิน(แบบหมายเลข 3) สารบบเล่ม 1 ก. หมู่ที่ 6 ตำบลพะโต๊ะกิ่งอำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร รวม 12 ฉบับ แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ส่งคืนแก่โจทก์ หรือเอกสารดังกล่าวสูญหายหรือโดยประการอื่นใดอันเป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถรับหรือครอบครองเอกสารดังกล่าวขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาในการขอออกเอกสารสิทธิใบแทนในที่ดินดังกล่าว ห้ามจำเลยและบริวารเข้ารบกวนสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์
จำเลย ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การอ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งคืนต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) สารบบเลขที่ 51, 53, 47, 67, 58, 12(หรือ 105), 50, 68, 25, 30, 67 (หรือ 3) และ 10 หรือ ทะเบียนที่ดิน(แบบหมายเลข 3) สารบบเล่ม 1 ก. หมู่ที่ 6 ตำบลพะโต๊ะกิ่งอำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร รวม 12 ฉบับ แก่โจทก์คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อปี 2512 โจทก์โอนประทานบัตรการทำเหมืองแร่ เลขที่11514/8971 ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 3, 12, 25, 30, 47, 50, 51, 53, 58, 67, 68 และตามหนังสือสำคัญ (แบบหมายเลข 3) เล่ม 1 ก. รวม 12 แปลง ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 6ตำบลพะโต๊ะ กิ่งอำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร ให้จำเลยเช้าทำกิจการเหมืองแร่ในที่ดินดังกล่าวและจำเลยต่ออายุประทานบัตรดังกล่าวอีก 2 ครั้ง โดยโจทก์ทำหนังสือยินยอมให้ในฐานะผู้ถือสิทธิในที่ดินประทานบัตรดังกล่าวสิ้นอายุเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2533 แต่เอกสารสิทธิสำหรับที่ดินทั้ง 12 แปลงดังกล่าวยังอยู่ที่จำเลย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่า จำเลยมิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันสมควรหรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า จากพฤติการณ์ของจำเลยและทนายจำเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดว่าไม่เอาใจใส่ในคดีไม่สนใจที่จะรักษาสิทธิของตนตามกฎหมาย ถือได้ว่า เป็นการจงใจไม่ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งไม่มีเหตุสมควรที่จะรับคำให้การของจำเลยไว้แต่อย่างใด
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปมีว่าจำเลยมีสิทธิจะยึดถือต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) และทะเบียนที่ดินของโจทก์ทั้ง 12 แปลง ตามฟ้องไว้หรือไม่ ในข้อนี้โจทก์เบิกความยืนยันว่า ได้โอนประทานบัตรทำเหมืองแร่ตามเอกสารหมาย จ.1 ให้จำเลยเมื่อปี 2512 โดยมีข้อตกลงให้จำเลยทำเหมืองแร่ในที่ดิน ของพยานได้จนหมดอายุประทานบัตรดังกล่าวแต่จะทำอย่างอื่นไม่ได้และค่าตอบแทนจำนวน 100,000 บาท ที่พยานรับจากจำเลยนั้นเป็นการโอนเฉพาะสิทธิตามประทานบัตรทำเหมืองแร่ ไม่เกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่เอกสารสิทธิสำหรับที่ดินทั้ง 12 แปลง อยู่ที่จำเลยนั้นเพราะจำเลยนำไปยื่นประกอบการขอต่ออายุประทานบัตร ซึ่งพยานได้ทำหนังสือยินยอมให้จำเลยทำเหมืองแร่บนที่ดินในการขอต่ออายุประทานบัตรทุกครั้ง เห็นว่า คำขอโอนประทานบัตรลงวันที่ 19 มีนาคม2512 เอกสารหมาย จ.1 อันดับที่ 208 ระบุไว้ชัดแจ้งว่าห้างหุ้นส่วนสามัญเหมืองแร่ในหยานโดยโจทก์ผู้รับมอบอำนาจผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองแร่ี่11514/8971 ขอโอนประทานบัตรดังกล่าวให้แก่จำเลย ยิ่งไปกว่านั้นในคำขอคัดค้านการออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่จำเลยยื่นต่อปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอพะโต๊ะ ตามเอกสารหมาย จ.6 ทั้ง 8 ฉบับ ก็ระบุชัดแจ้งว่า โจทก์ได้นำ น.ส.3ที่ดินทั้ง 12 แปลง ดังกล่าวทำสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ประทานบัตรให้แก่จำเลย พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ ส่วนที่จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า โจทก์ขายประทานบัตรทำเหมืองแร่ให้แก่นายทิวาพี่จำเลยโดยรวมถึงที่ดินทั้ง 12 แปลง ในราคา100,000 บาท นั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องโจทก์เท่านั้น จำเลยไม่มีสิทธิอ้างข้อเท็จจริงเป็นประเด็นขึ้นมาใหม่คงมีสิทธิเพียงสาบานตนให้การเป็นพยานเองและถามค้านพยานโจทก์เพื่อที่จะหักล้างพยานหลักฐานเท่านั้น การเบิกความของจำเลยดังกล่าวเป็นการเบิกความในข้อที่ไม่ได้เป็นประเด็นในคดีรับฟังไม่ได้ ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบเชื่อได้ว่าโจทก์ตกลงโอนเฉพาะสิทธิในประทานบัตรทำเหมืองแร่ให้แก่จำเลยเท่านั้นเมื่อสิ้นอายุประทานบัตรแล้วจำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดถือเอกสารสิทธิสำหรับที่ดินของโจทก์ไว้อีกต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน