คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7015/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทั้งโจทก์และจำเลยต่างได้ครอบครองที่ดินในบริเวณที่ปรากฏในแผนที่พิพาทส่วนฝ่ายใดเป็นผู้ครอบครองที่ดินเนื้อที่เท่าใดและฝ่ายใดครอบครองมาก่อนกันอันจะทำให้ฟังได้ว่าฝ่ายนั้นเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทนั้นปรากฏว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีบ้านอยู่ในที่พิพาทอีกทั้งพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายไม่อาจรับฟังได้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทแต่เพียงฝ่ายเดียวและฟังไม่ได้ว่ามีการครอบครองที่พิพาทเป็นสัดส่วนในส่วนไหนเท่าใดจึงควรฟังว่าโจทก์และฝ่ายจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทมาด้วยกันและต่างมีส่วนในที่พิพาทเท่าๆกันแม้ในวันที่16กรกฎาคม2533จำเลยได้นำรถตักดินเข้าไปตักดินในที่พิพาทกั้นคันดินเพื่อทำเป็นบ่อเลี้ยงกุ้งอันเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาทก็ตามแต่โจทก์ก็ได้คัดค้านทันที่ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่25มีนาคม2534เพื่อเรียกคืนการครอบครองภายใน1ปีสิทธิการฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่พิพาทของโจทก์ยังไม่ขาดไปและได้ความว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินในส่วนที่ไม่ได้โต้แย้งกันซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่พิพาทจึงเห็นควรให้โจทก์ได้ส่วนแบ่งในที่พิพาททางด้านทิศตะวันออกโดยแบ่งเนื้อที่ดินพิพาทออกเป็นสองส่วนเท่าๆกันและให้โจทก์มีสิทธิในที่พิพาททางด้านตะวันออกห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินในส่วนนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินเนื้อที่ประมาณ 31 ไร่2 งาน ทิศเหนือจดที่ดินนางสำรวม ปัจจุบันเป็นของจำเลยที่ 2 ทิศใต้จดที่ดินของจำเลยที่ 1 และคลองตามากทิศตะวันออกจดคลองสาธารณะ ทิศตะวันตกจดร่องน้ำสาธารณะที่ดินดังกล่าวเดิมเป็นของนายใส่ บิดาโจทก์ โจทก์ได้ครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของและทำประโยชน์ในที่ดินต่อจากบิดาโจทก์ติดต่อกันมาเป็นเวลาประมาณ 30 ปีแล้ว เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2533จำเลยทั้งสองได้นำรถตักดินบุกรุกเข้ามาทางทิศใต้ตักดินในที่ดินของโจทก์เต็มพื้นที่ทั้งแปลงทำเป็นคันดินสูงประมาณ2 เมตร รอบที่ดินของโจทก์ เพื่อทำเป็นบ่อเลี้ยงกุ้งทำให้ต้นจากของโจทก์ที่ปลูกไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้ห้ามจำเลยทั้งสองและให้ออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ยอม ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องที่ปรากฏตามแผนที่ท้ายฟ้องโจทก์หมายสีแดงเป็นสิทธิของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินและห้ามเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า นายเสริญ บิดาได้ทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้แก่บุตร 7 คน จำเลยทั้งสองและพี่น้องจึงเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทที่บิดายกให้มาหลายปีแล้วโจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้องและครอบครองที่พิพาท จำเลยทั้งสองครอบครองที่พิพาทมากว่า 1 ปีแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีเรียกคืนได้โจทก์ได้ฟ้องคดีอาญา จำเลยทั้งสองเรื่องบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์และศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้วตามคดีหมายเลขแดงที่4304/2533 ของศาลชั้นต้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม นางเติม มีรส ทายาทของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่า ที่พิพาทตามแผนที่พิพาทกลางเป็นของโจทก์หรือไม่ ปรากฏตามแผนที่พิพาทกลางโจทก์นำชี้แนวเขตที่ดินของตนมีเนื้อที่ 49 ไร่ 3 งาน37 ตารางวา จำเลยทั้งสองนำชี้แนวเขตที่ดินของตนมีเนื้อที่ 43 ไร่ 2 งาน 27 ตารางวา ที่ดินในส่วนที่โจทก์จำเลยทั้งสองนำชี้ดังกล่าวทับกัน โดยต่างฝ่ายต่างอ้างว่าตนเป็นฝ่ายครอบครอง คือที่พิพาทมีเนื้อที่ 43 ไร่ 79 ตารางวาส่วนที่โจทก์นำชี้ว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองโดยจำเลยมิได้โต้แย้งซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่พิพาทมีเนื้อที่6 ไร่ 2 งาน 58 ตารางวา ส่วนที่จำเลยทั้งสองนำชี้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ครอบครองโดยโจทก์มิได้โต้แย้งซึ่งอยู่ทางเหนือที่พิพาทมีเนื้อที่ 1 งาน 48 ตารางวาโจทก์นำสืบถึงการได้ที่ดินดังกล่าวทั้งหมดที่โจทก์นำชี้นั้นว่า นายใส่บิดาโจทก์ยกให้แก่โจทก์ส่วนจำเลยทั้งสองนำสืบว่า นายเสริญบิดาจำเลยทั้งสองทำพินัยกรรมยกที่ดินที่จำเลยทั้งสองนำชี้ให้แก่จำเลยทั้งสองและพี่น้องแล้วจำเลยที่ 1 ได้ไปแจ้งการครอบครองที่ดินเนื้อที่ 3 ไร่ ตาม ส.ค.1 เอกสารหมาย ล.1 ที่ดินตามส.ค.1 ฉบับนี้ระบุว่า ทิศตะวันออกจดสวนจากของนายใส่บิดาโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองต่างได้ครอบครองที่ดินในบริเวณที่ปรากฏในแผนที่พิพาทส่วนฝ่ายใดเป็นผู้ครอบครองที่ดินเนื้อที่เท่าใดและฝ่ายใดครอบครองมาก่อนกันอันจะทำให้ฟังได้ว่าฝ่ายนั้นเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทนั้นก็ปรากฏว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีบ้านอยู่ในที่พิพาท อีกทั้งพยานของทั้งสองฝ่ายต่างก็อาศัยอยู่ไกลจากที่พิพาท และสภาพของที่พิพาทเป็นป่าจากที่น้ำท่วมถึงต้องใช้เรือเป็นพาหนะเดินทางเข้าไปทำประโยชน์ในที่พิพาททั้งไม่มีแนวเขตชัดเจน พยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายไม่อาจรับฟังได้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทแต่เพียงฝ่ายเดียว และฟังไม่ได้ว่ามีการครอบครองที่พิพาทเป็นสัดส่วนในส่วนไหนเท่าใดจึงควรฟังว่าโจทก์และฝ่ายจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทมาด้วยกันและต่างมีส่วนในที่พิพาทเท่า ๆ กัน แม้ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2533 จำเลยทั้งสองได้นำรถตักดินเข้าไปตักดินในที่พิพาทกั้นคันดินเพื่อทำเป็นบ่อเลี้ยงกุ้ง อันเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาทก็ตามแต่โจทก์ก็ได้คัดค้านทันที่ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2534เพื่อเรียกคืนการครอบครองภายใน 1 ปี สิทธิการฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่พิพาทของโจทก์ยังไม่ขาดไป และได้ความว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินในส่วนที่ไม่ได้โต้แย้งกันซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ของที่พิพาท จึงเห็นควรให้โจทก์ได้ส่วนแบ่งในที่พิพาททางด้านทิศตะวันออก โดยแบ่งเนื้อที่ดิน 43 ไร่79 ตารางวา ออกเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน
พิพากษากลับว่า ที่พิพาทตามแผนที่พิพาทกลางเนื้อที่ดิน43 ไร่ 79 ตารางวา เป็นของโจทก์ครึ่งหนึ่ง โดยให้ถือเขตติดต่อระหว่างที่ดินของโจทก์และที่ดินของจำเลยที่มิได้โต้แย้งกันซึ่งอยู่ทางทิศเหนือในแผนที่พิพาทกลางเป็นจุดแบ่งแล้วลากลงมาทางด้านใต้โดยให้โจทก์มีสิทธิในที่พิพาททางด้านตะวันออกห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินในส่วนนี้

Share