คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 700/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจากเจ้าของเดิม ซึ่งจำเลยปลูกบ้านบนที่ดินดังกล่าวโดยอาศัยสิทธิเจ้าของเดิม เมื่อจำเลยเห็นว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริตและไม่ได้เสียค่าตอบแทนจำเลยจะต้องกล่าวไว้ในคำให้การเพื่อตั้งประเด็นพิพาทไว้จึงจะชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสองแม้โจทก์จะให้การแก้ฟ้องแย้งโดยยกเรื่องซื้อที่พิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนขึ้นมาด้วย ก็เป็นเพียงยืนยันคำฟ้องของโจทก์ว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทจากเจ้าของเดิมโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น หาเป็นผลให้เกิดประเด็นขึ้นมาใหม่ไม่ ทั้งเมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทโดยไม่มีประเด็นข้อนี้จำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน จำเลยจึงจะโต้แย้งว่าควรมีประเด็นข้อนี้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทจากเจ้าของเดิม จำเลยปลูกบ้านเลขที่ 2 บนที่ดินดังกล่าวโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของเดิม โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินบริวารออกจากที่ดิน จำเลยเพิกเฉย ขอให้พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 2ของจำเลย ขนย้ายทรัพย์สินบริวารออกไปจากที่พิพาท ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมที่พิพาทเป็นของปู่ของจำเลยต่อมาตกได้แก่นายเที่ยงบิดาของจำเลย หลังจากบิดาจำเลยถึงแก่กรรมเมื่อปี 2498 จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทในฐานะเป็นบุตรตลอดมาโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง การกระทำของโจทก์เป็นการรบกวนสิทธิครอบครองของจำเลย ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์ และขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทจากเจ้าของเดิมโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานโดยสุจริต เมื่อซื้อแล้วได้แบ่งแยกโฉนดจำเลยทราบดี ไม่เคยโต้แย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 100 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่พิพาท
โจทก์อุทธรณ์เรื่องค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้จำเลยเป็นเจ้าของที่พิพาท
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ต่อสู้เรื่องโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริตไว้ในคำให้การแต่อย่างใด จึงไม่เป็นประเด็นในคดี และค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้นั้นเป็นการเหมาะสมแล้ว พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยในเบื้องแรกตามฎีกาของจำเลยว่า คดีนี้มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่าโจทก์ซื้อที่ดินมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนจริงหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าซื้อที่พิพาทมาจากเจ้าของเดิม และอาศัยสิทธิดังกล่าวฟ้องจำเลย จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทจากการครอบครองปรปักษ์และฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทจากเจ้าของเดิมโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนจริง คดีจึงต้องมีประเด็นดังกล่าวพิเคราะห์แล้วเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคสอง บัญญัติว่า ‘ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น’ เมื่อจำเลยเห็นว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทจากเจ้าของเดิมโดยไม่สุจริตและไม่ได้เสียค่าตอบแทน จำเลยจะต้องกล่าวไว้ในคำให้การเพื่อตั้งเป็นประเด็นพิพาทไว้ จึงจะชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว การที่โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งโดยยกเรื่องซื้อที่พิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนขึ้นมาด้วยนั้น เป็นเพียงยืนยันคำฟ้องของโจทก์ว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทจากเจ้าของเดิมโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น หาเป็นผลให้เกิดประเด็นดังกล่าวขึ้นมาใหม่ไม่ ทั้งเมื่อศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานและกำหนดประเด็นพิพาท 3 ข้อ โดยไม่มีประเด็นข้อนี้ จำเลยก็หาได้โต้แย้งคัดค้านอย่างใดไม่ แสดงว่าจำเลยเห็นด้วยว่าไม่มีประเด็นข้อนี้ ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อจำเลยนำพยานเข้าสืบในฐานะที่มีหน้าที่นำสืบก่อน จำเลยก็มิได้นำสืบถึงเรื่องนี้เลย จำเลยเพิ่งโต้แย้งว่าควรมีประเด็นข้อนี้ในชั้นอุทธรณ์และฎีกา จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่มีประเด็นดังกล่าวในคดีนี้จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยอีกต่อไป’
พิพากษายืน.

Share