แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อตึกพิพาทมิได้เป็นเคหะ จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ แล้วก็ไม่มีทางที่จำเลยจะมาคัดค้านว่าโจทก์ทำผิด พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯประการใดได้
เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่ากับจำเลยโดยชอบแล้วจำเลยยังขืนอยู่ในตึกของโจทก์โดยไม่มีสิทธิอย่างใดจึงเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์ต้องเสียหายในสิทธิแห่งทรัพย์สินของโจทก์จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อกฎหมาย
ย่อยาว
ได้ความว่าจำเลยเช่าตึกรายพิพาทเพื่อประกอบธุระกิจการค้าและโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าแก่จำเลยโดยชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทกับให้จำเลยชำระค่าเช่าให้โจทก์เดือนละ 25 บาทนับแต่เดือนมีนาคม 2497 จนกว่าจำเลยจะได้ออกไป
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน เพียงแต่แก้กำหนดเวลาให้จำเลยชำระค่าเช่าให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2498 เป็นต้นไป
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมาย 2 ข้อคือ
1. ฎีกาจำเลยที่อ้างว่า โจทก์เรียกค่าเช่าขึ้นราคาเดือนละ 25 บาทเป็นเดือนละ 65 บาท เป็นการผิดพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ฉะนั้นหนังสือที่โจทก์บอกเลิกการเช่าและให้ชำระค่าเช่าเดือนละ 65 บาทจึงตกเป็นโมฆะต้องถือว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยยังไม่ได้บอกเลิกการเช่ากับจำเลยตามกฎหมาย ฟ้องไม่ได้นั้น ก็เมื่อตึกพิพาทมิได้เป็นเคหะ จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ แล้ว ก็ไม่มีทางที่จำเลยจะมาคัดค้านได้ว่าโจทก์ทำผิดพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ประการใด
2. ที่จำเลยฎีกา คดีนี้เป็นเรื่องผิดสัญญา ไม่ใช่เรื่องละเมิดนั้น เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่ากับจำเลยโดยชอบแล้ว จำเลยยังขืนอยู่ในตึกของโจทก์โดยไม่มีสิทธิอย่างใด จึงเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์ต้องเสียหายในสิทธิแห่งทรัพย์สินของโจทก์ ย่อมเป็นการกระทำละเมิดตามกฎหมาย