แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจอให้ลงโ่ทษจำเลย 2 คนฐานสมคบกันชิงทรัพย์ จำเลยทั้ง 2 รับสารภาพตามฟ้อง เมื่อสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ โจทก์ มีคำเจ้าทรัพย์ยืนยันฟังได้ว่า การชิงทรัพย์รายนี้มีคนอีกคนหนึ่งร่วมกระทำการกับจำเลยที่ 1 ด้วย และมีพยานอีกคนหนึ่งเห็นจำเลยที่ 2 เดินตามหลังจำเลยที่ 1 ไปในคืนวันเกิดเหตุ หลังจากเกิดเหตุแล้ว ดังนี้ แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยาน เห็นจำเลยได้ในขณะกระทำผิดเมื่อพิเคราะห์ประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลยที 2 แล้ว คดีพอลงโ่ทษจำเลยที่ 2 ได้ตามป.ม. วิ. อาญามาตรา 136.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานสมคบกันชิงทรัพย์ จำเลยทั้ง ๒ ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นสืบพยานประกอบคำรับสวารภาพแล้ว ฟังว่าจำเลยที่ ๑ ทำผิดตามฟ้องจริง ส่วนจำเลยที่ ๒ ยังฟังไม่ได้ว่ากระทำผิด จึงพิพิากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามฟ้องแต่ผู้เดียว ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ให้ลงโทษจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ขอลดโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ ๒ ผิดฐานชิงทรัพย์ด้วย นอกนั้นยืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฏีกาได้ตรวจสำนวนปรึกษากันแล้วเห็นว่า โจทก์มีคำเจ้าทรัพย์ยืนยันฟังได้ว่าการชิงทรัพย์รายนี้ มีคนอีกคนหนึ่งร่วมกระทำการกับจำเลยที่ ด้วย และมีนายเหลี่ยนเจริญผลเปแ็๋นพยานเห็ฯนจำเลยที่ ๒ เดินตามหลังจำเลยที่ ๑ ในคืนวันเกิดเหตุ หลังจากเกิดเหตุแล้ว เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลยที่ ๒ แล้วเป็นที่พอใจว่า จำเลยที่ ๒ ได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยได้ในขณะกระทำผิด ก้อลงโทษาจำเลยที่ ๒ ได้ตาม ป.ม.วิ อาญามาตรา ๑๗๖ จึงพิพากษายืน.