คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6996/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันและจำเลยทั้งสองจดจำนองที่ดินเป็นประกัน เมื่อบอกเลิกสัญญาจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์จำนวนหนึ่งจำเลยทั้งสองให้การรับตามคำฟ้อง แต่ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ไปบางส่วนยอดหนี้ที่ฟ้องไม่ถูกต้อง เป็นการรับว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไปจริงและยังคงค้างชำระหนี้อยู่ โดยได้ชำระเงินไปบางส่วนเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องพิสูจน์ว่าได้ชำระหนี้โจทก์ไปแล้วเท่าไร หาใช่เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้อยู่เท่าไรไม่ แม้โจทก์ไม่มีพยานมาสืบ แต่จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว ก็ต้องฟังว่าเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์โดยขอเบิกเงินเกินบัญชีจากบัญชีกระแสรายวัน ในวงเงิน 500,000 บาทตกลงดอกเบี้ยร้อยละ 17.5 ต่อปี ทบต้นตามประเพณีธนาคารพาณิชย์และยินยอมให้โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยได้ตามวิธีการของธนาคาร มีกำหนดเวลา 12 เดือน นับแต่วันทำสัญญา จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ในบัญชีดังกล่าวอยู่ก่อนวันทำสัญญาจำนวน 174,464.33 บาท จำเลยที่ 2ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม โดยจำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 5205, 5218 พร้อมสิ่งปลูกสร้างในวงเงิน 200,000 บาทจำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดที่ 5632, 437 พร้อมสิ่งปลูกสร้างในวงเงิน 300,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเบิกเงินและนำเงินเข้าหักทอนบัญชีกับโจทก์หลายครั้ง เมื่อสัญญาครบกำหนดแล้ว มิได้มีการบอกเลิกสัญญา จำเลยที่ 1 ยังคงเดินสะพัดบัญชีกับโจทก์ต่อมาอีก เมื่อหักทอนบัญชีกันแล้วปรากฏว่าจำเลยที่ 1เป็นหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตลอดมา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,044,712.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนกว่าจะครบ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ไปบางส่วนแล้ว ยอดหนี้ที่โจทก์ฟ้องไม่ถูกต้อง สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีมีกำหนด12 เดือน เมื่อครบกำหนดแล้วถือว่าต่อสัญญาไปอีก 6 เดือน เมื่อครบกำหนดแล้ว สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยก็เลิกกันตามสัญญาหลังจากนั้นโจทก์จึงเรียกดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยไม่ได้ จำเลยที่ 1มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวไปถึงโจทก์สัญญาเป็นอันเลิกกัน โจทก์จึงไม่สามารถเรียกดอกเบี้ยทบต้นนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี แต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตและถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ แล้วสืบพยานจำเลยในวันนั้น และพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยนัดสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,044,712.25 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี ของต้นเงิน 1,031,570.34 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่าตามคำฟ้อง คำให้การ ศาลมิได้ชี้สองสถานแต่ได้นัดสืบพยานโจทก์ก่อน แต่โจทก์ไม่มีพยานมาสืบ จึงได้สืบพยานจำเลยไป จะพิพากษายกฟ้องหรือพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ ตามคำฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันและจำเลยทั้งสองจำนองที่ดินเป็นประกันด้วย จำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินเกินบัญชีไปหลายครั้ง ถึงวันบอกเลิกสัญญาจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่ 1,031,570.34 บาทจำเลยทั้งสองให้การรับว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกัน และจำเลยทั้งสองได้จำนองที่ดินเป็นประกันตามฟ้องจริง แต่ได้ชำระหนี้ไปบางส่วน ยอดหนี้ที่โจทก์ฟ้องไม่ถูกต้องเช่นนี้เป็นการรับว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้เงินโจทก์ไปจริง และยังคงค้างชำระหนี้โจทก์อยู่ โดยได้ชำระเงินไปบางส่วนแล้ว เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องพิสูจน์ว่าได้ชำระหนี้โจทก์ไปแล้วเท่าไร ซึ่งก็จะรู้จำนวนหนี้ที่ค้างไปในตัว หาใช่เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้อยู่เท่าไรไม่เมื่อจำเลยทั้งสองนำสืบโดยมีจำเลยที่ 1 เป็นพยานปากเดียวเบิกความลอย ๆ ว่าได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว ไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 1ได้ชำระหนี้แล้ว จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่ตามฟ้อง
พิพากษายืน

Share