แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2) แม้ว่ากฎหมายจะบัญญัติให้ทำเป็นคำขอฝ่ายเดียวก็ตาม แต่ศาลก็มีอำนาจที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ ก่อนออกคำสั่งในเรื่องนั้น ๆ ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(3)
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งห้าฟ้องให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนเสารั้วคอนกรีต รวมทั้งสิ่งกีดขวางทั้งหมดของจำเลยทั้งสามออกไปให้พ้นทางเดินเท้าสาธารณะซึ่งอยู่หน้าที่ดินของโจทก์ทั้งห้า ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสาม และห้ามจำเลยทั้งสามมิให้กระทำการใด ๆ อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งห้าอีกต่อไป
ระหว่างพิจารณาโจทก์ทั้งห้ายื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า คำฟ้องของโจทก์ทั้งห้ามีเหตุสมควรและจำเป็นที่จะคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ทั้งห้าไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนเสาปูนซีเมนต์ซึ่งปักอยู่ในที่พิพาท รวมทั้งห้ามมิให้ปักเสาปูนซีเมนต์ใหม่จนกว่าคดีจะถึงที่สุด โดยให้โจทก์ทั้งห้าวางเงินประกันความเสียหายเป็นเงิน 20,000 บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำร้องของ โจทก์ทั้งห้าเป็นการขอห้ามชั่วคราวมิให้ จำเลยทั้งสามกระทำซ้ำหรือกระทำต่อไปซึ่งการละเมิดตามที่โจทก์ทั้งห้าฟ้อง อันเป็นการขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 (2) ซึ่งแต่ว่ากฎหมายจะบัญญัติให้ทำเป็นคำขอฝ่ายเดียวก็ตาม แต่ศาลก็มีอำนาจที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ ก่อนออกคำสั่งในเรื่องนั้น ๆ ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 21 (3) คดี เมื่อศาลชั้นต้นทำการไต่สวนพยานโจทก์ทั้งห้าเสร็จสิ้นแล้วจำเลยทั้งสามย่อมมีความชอบธรรมที่จะนำพยานเข้าสืบแก้ได้ เพราะไม่มีกฎหมายห้ามไว้ที่ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้นว่าจำเลยทั้งสามไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบและสั่งงดสืบพยานจำเลยทั้งสามไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยทั้งสาม แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี