คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6993/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะที่ บ. จดทะเบียนรับจำเลยที่ 1 เป็นบุตรบุญธรรม บ.มีอายุ 25 ปี ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิมมาตรา 1582 ที่กำหนดว่าผู้รับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุไม่น้อยกว่า30 ปี ส่วนการที่ บ. รับจำเลยที่ 2 เป็นบุตรบุญธรรมนั้นโจทก์ซึ่งเป็นคู่สมรสของ บ. ไม่ได้ให้ความยินยอมด้วย ขัดต่อ ป.พ.พ.บรรพ 5 เดิม มาตรา 1584 การจดทะเบียนรับจำเลยทั้งสองเป็นบุตรบุญธรรมของ บ. ย่อมไม่สมบูรณ์ ไม่มีผลตามกฎหมาย จำเลยทั้งสองจึงมิใช่ทายาทโดยธรรมของ บ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายบุญชูเพียรพานิช จำเลยทั้งสองเป็นหลานนายบุญชู ขณะนายบุญชูมีชีวิตอยู่ นายบุญชูได้จดทะเบียนรับจำเลยทั้งสองเป็นบุตรบุญธรรมหากแต่การจดทะเบียนขัดต่อเงื่อนไขตามกฎหมายจึงไม่อาจถือว่า จำเลยทั้งสองเป็นบุตรบุญธรรมของนายบุญชูและไม่เป็นทายาทโดยชอบธรรมหรือมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของนายบุญชู นายบุญชูถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2529 โดยมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้แก่ผู้ใด โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกของนายบุญชูแต่เพียงผู้เดียว แต่มีทรัพย์มรดกบางส่วนที่โจทก์ไม่อาจเข้ายึดถือครอบครองได้ คือ ที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 1 ไร่เศษตั้งอยู่ที่ซอยขี้วัวพร้อมสิ่งปลูกสร้างราคาประมาณ 1,400,000 บาท กับสิทธิการเช่าที่ดินจำนวน 3 แปลง ซึ่งอาจจำหน่ายจ่ายโอนได้ในราคา 200,000 บาททรัพย์มรดกดังกล่าว ก่อนตายนายบุญชูได้มอบให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ครอบครองดูแลเก็บผลประโยชน์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ซอยขี้วัว ถนนเจริญกรุง แขวงบางคอแหลม เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร แก่โจทก์ หากส่งมอบไม่ได้ให้ชดใช้ราคา 1,400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยทั้งสองชำระเงินค่าเช่าที่เก็บได้จากการให้เช่าที่ดินและบ้านที่เป็นทรัพย์มรดกเป็นเงิน 27,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยทั้งสองส่งมอบค่าเช่าที่ดินและบ้านดังกล่าวแก่โจทก์เป็นรายเดือนเดือนละ 2,300 บาทจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบการครอบครองบ้านและที่ดินดังกล่าวคืนโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ได้ทิ้งร้างเจ้ามรดกไปเป็นเวลา26 ปี โดยมิได้เข้ามาเกี่ยวข้องในทรัพย์มรดก เป็นการสละทรัพย์สินส่วนตัวและทรัพย์มรดกโดยปริยาย โจทก์จึงไม่มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของนายบุญชู แม้มารดาของจำเลยทั้งสองจะไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนายบุญชู แต่ก็อยู่กินฉันสามีภริยากันนายบุญชูได้อุปการะเลี้ยงดูจำเลยทั้งสองฉันบิดากับบุตร ทั้งยังได้จดทะเบียนรับจำเลยทั้งสองเป็นบุตรบุญธรรม จำเลยทั้งสองจึงเป็นทายาทโดยธรรมมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของนายบุญชู โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกทรัพย์มรดกจากจำเลยทั้งสอง เพราะนายบุญชูได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่ นางกี๋ นาฬิกาวิท และจำเลยทั้งสองจึงเป็นการตัดโจทก์ไม่ให้มีสิทธิรับมรดก นายบุญชูไม่เคยมีที่ดินอยู่ในซอยขี้วัวตามฟ้อง ส่วนสิทธิการเช่าที่ดินทั้งสามแปลงที่โจทก์ฟ้องเป็นสิทธิเฉพาะตัวของนางกี๋ ซึ่งถึงแก่กรรมไปก่อนนายบุญชู สัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวจึงระงับไม่ตกทอดแก่นายบุญชูที่จำเลยทั้งสองยังครอบครองเก็บผลประโยชน์อยู่ เป็นการกระทำส่วนตัวของจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่านายบุญชูได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่ นางกี๋ และจำเลยทั้งสอง เพราะทรัพย์มรดกพิพาทคือ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและสิทธิการเช่าตามฟ้อง นางกี๋ได้ทำพินัยกรรมยกให้เป็นสินส่วนตัวของนายบุญชู เมื่อนางกี๋ถึงแก่กรรมก่อนนายบุญชู ทรัพย์มรดกดังกล่าวจึงตกเป็นสินส่วนตัวของนายบุญชู และเมื่อนายบุญชูถึงแก่กรรม ทรัพย์มรดกพิพาทจึงตกเป็นของจำเลยทั้งสองตามพินัยกรรมของนายบุญชูและไม่ใช่เป็นสินสมรสที่จะต้องแบ่งให้แก่โจทก์ในฐานะภริยาก่อน โจทก์จึงถูกตัดไม่ให้รับมรดกของนายบุญชู โจทก์ไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกพิพาท พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 1633ตำบลบ้านทวาย อำเภอบางรัก กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นมรดกของนายบุญชู เพียรพานิช โดยมีชื่อ นางกี๋ นาฬิกาวิท เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ออกเป็น 3 ส่วน ให้โจทก์และจำเลยทั้งสองคนละหนึ่งส่วนถ้าแบ่งไม่ได้ก็ให้ประมูลกันเองหรือขายทอดตลาดแบ่งเงินตามส่วนและให้จำเลยทั้งสองส่งมอบเงินค่าเช่าให้แก่โจทก์เป็นเงิน 4,800 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยทั้งสองส่งมอบค่าเช่าให้แก่โจทก์เดือนละ400 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะได้มีการแบ่งหรือขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายบุญชูเพียรพานิช เจ้ามรดก นายบุญชูเป็นบุตรของนางกี๋ นาฬิกาวิทนางกี๋มีที่ดินพิพาทเกี่ยวกับคดีนี้ 1 แปลง คือที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1633 ตำบลบางคอแหลม (บ้านทราย) อำเภอยานนาวา (บางรัก)กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 1 ไร่ 31 ตารางวา ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.6 มีบ้านปลูกอยู่ในที่ดินแปลงนี้ 6 หลัง คือบ้านเลขที่ 34 ถึง 38 และเลขที่ 40 ซึ่งยังมีชื่อนางกี๋เป็นเจ้าของอยู่ และนางกี๋ยังมีสิทธิการเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อีก 3 แปลง ตามสัญญาเช่าที่ดินเอกสารหมาย จ.11(จำนวน 3 ชุด) ในที่ดินทั้งสามแปลงนี้มีบ้านเช่าปลูกอยู่รวมทั้งบ้านเลขที่ 15 ที่นางกี๋ นายบุญชู โจทก์และจำเลยทั้งสองใช้เป็นที่อยู่อาศัย แต่โจทก์ได้ออกจากบ้านหลังดังกล่าวเมื่อปี 2505เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2505 นางกี๋ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้เป็นสินส่วนตัวของนายบุญชูตามเอกสารหมาย จ.5 นางกี๋ได้ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2527 ต่อมาวันที่ 1 ธันวาคม 2529 นายบุญชูได้ถึงแก่กรรม
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อต่อไปว่าจำเลยทั้งสองเป็นทายาทโดยธรรมของนายบุญชูหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า นายบุญชูได้จดทะเบียนรับจำเลยทั้งสองเป็นบุตรบุญธรรม เห็นว่าตามทะเบียนรับบุตรบุญธรรมเอกสารหมาย จ.4 ปรากฏว่าขณะนายบุญชูจดทะเบียนรับจำเลยที่ 1 เป็นบุตรบุญธรรม นายบุญชูมีอายุ 25 ปีจึงขัดต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เดิมมาตรา 1582 ซึ่งใช้บังคับในขณะนั้นที่กำหนดว่าผู้รับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 30 ปี ส่วนการรับจำเลยที่ 2 เป็นบุตรบุญธรรมตามเอกสารหมาย จ.3 กระทำเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2508 นายบุญชูแจ้งว่าเป็นโสด แต่ความจริงนายบุญชูได้จดทะเบียนสมรสกับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2499 โจทก์ซึ่งเป็นคู่สมรสของนายบุญชูไม่ได้ให้ความยินยอมด้วยจึงขัดต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เดิม มาตรา 1584 ซึ่งใช้บังคับในขณะนั้นการจดทะเบียนรับจำเลยทั้งสองเป็นบุตรบุญธรรมของนายบุญชูย่อมไม่สมบูรณ์ไม่มีผลตามกฎหมาย ส่วนปัญหาที่จำเลยที่ 1ฎีกาอีกว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุตรนอกกฎหมายที่นายบุญชูรับรองแล้วนั้น เห็นว่าตามสูติบัตร เอกสารหมาย จ.7 ระบุว่านายจรูญชินสุวรรณ เป็นบิดาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ใช้ชื่อสกุลของนายจรูญมาตั้งแต่ปี 2497 ตามเอกสารหมาย จ.8 นอกจากนี้ ตามทะเบียนการรับบุตรบุญธรรม เอกสารหมาย จ.4 ระบุว่านายจรูญและนางองุ่นเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 ซึ่งขณะนั้นยังเป็นผู้เยาว์ทั้งนายจรูญและนางองุ่นได้ลงชื่อให้ความยินยอมไว้มีน้ำหนักน่าเชื่อมากกว่าพยานจำเลยซึ่งมีตัวจำเลยที่ 1 นางองุ่นและนางสง่ามารดาของนางองุ่นมาเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆ ว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของนายบุญชู แม้นายบุญชูนำเอกสารภายหลังจากการรับจำเลยที่ 1 เป็นบุตรบุญธรรมแล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นบุตรโดยชอบธรรมและถูกต้องตามกฎหมายก็เป็นเรื่องที่เป็นปกติธรรมดาของผู้รับบุตรบุญธรรมจะกระทำได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองไม่ใช่ทายาทโดยธรรมของนายบุญชู ทรัพย์มรดกส่วนของนางกี๋ตามพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.6 จึงตกได้แก่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของนายบุญชูตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1629 วรรคสองและมาตรา 1635(4) โจทก์หาถูกตัดมิให้รับมรดกเพราะข้อกำหนดในพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.6 ในส่วนที่เกี่ยวกับนางกี๋ตกไปดังวินิจฉัยมาแล้วไม่”
พิพากษายืน

Share