คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1338/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยรู้เห็นว่า ใครเป็นคนตัดต้นจากในที่เกิดเหตุ และเมื่อมีผู้อื่นมาสอบถามจำเลยก็ได้บอกไปตามที่ตนรู้เห็นมาว่าใครเป็นคนตัด ดังนี้ การที่จำเลยมาเบิกความในคดีอาญาว่าในวันเกิดเหตุไม่เห็นใครเป็นคนตัดต้นจาก และเมื่อมีผู้อื่นมาสอบถามจำเลยได้บอกไปว่าไม่เห็นนั้น จึงเป็นการเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล และข้อเท็จจริงนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี เป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องโจทก์ จำเลยจึงมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177
แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องระบุถ้อยคำมาให้ชัดแจ้งว่า ข้อที่จำเลยเบิกความเท็จนั้น เป็นข้อสำคัญในคดี แต่โจทก์ก็ได้บรรยายข้อเท็จจริงไว้ด้วยว่าจำเลยเป็นประจักษ์พยานในคดี หากศาลเชื่อตามคำเบิกความอันเป็นเท็จของจำเลย อาจทำให้คดีของโจทก์ขาดประจักษ์พยาน โจทก์อาจได้รับความเสียหาย ซึ่งตามข้อความดังกล่าวนี้ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าคำเบิกความอันเป็นเท็จของจำเลยนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ถือไม่ได้ว่าฟ้องโจทก์ขาดองค์ประกอบที่จะเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเบิกความเท็จ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๗ วรรคสอง ลงโทษจำคุก ๓ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ โจทก์ได้ซื้อที่ดินจากนายเจียม เหิงรัตน์ ที่ดังกล่าวอยู่หมู่ที่ ๕ ตำบลบ้านเพิง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ครั้นวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๖ ได้มีคนเข้าไปดักฟันต้นจากและต้นไม้อื่นในที่ดังกล่าว เป็นบริเวณกว้างประมาณ ๑ วาครึ่ง ยาวประมาณ ๓ เส้น โจทก์ทราบว่านางมุณี นายเหื้อง นายละเวง นายนับ เป็นผู้ตัด จึงฟ้องนางมุณีกับพวกเป็นคดีอาญาสินไหมต่อศาลจังหวัดปากพนัง ในข้อหาฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๕๒/๒๕๒๖ ของศาลจังหวัดปากพนังในชั้นพิจารณาคดีดังกล่าว โจทก์ได้อ้างจำเลยเป็นพยาน ครั้นวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๒๖ จำเลยได้เบิกความต่อศาลในคดีดังกล่าวนั้นเป็นใจความสำคัญว่า ในวันเกิดเหตุที่ต้นจากถูกตัดนั้น นางมุณีได้มาหาจำเลยที่บ้านบอกว่าจะมาดูเขตที่ดิน จำเลยกับนางมุณีได้พากันไปยังที่เกิดเหตุ ขณะนั้นเห็นมีนายเหื้อง นายละเวง นายนับ อยู่ที่นั่นด้วย แต่ใครจะเป็นคนตันต้นจากจำเลยไม่เห็น และหลังจากนั้นอีก ๒ วัน นายเจริญผู้ใหญ่บ้านกับนายสุทินผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและโจทก์ได้มาสอบถามจำเลยว่า เห็นใครตัดต้านจากหรือไม่ จำเลยตอบว่าไม่เห็น ดังปรากฏตามสำเนาคำเบิกความเอกสารหมาย จ.๒ ปัญหาวินิจฉัยข้อแรกมีว่า การที่ต้นจากถูกตัดฟันไปนั้น จำเลยได้เห็นผู้ใดเป็นคนตัดหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในการที่จำเลยเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๕๒/๒๕๒๖ ของศาลจังหวัดปากพนังและเบิกความในคดีนี้ฐานะเป็นจำเลย (ข้อหาเบิกความเท็จ) นั้น จำเลยยอมรับอยู่ในวันเกิดเหตุซึ่งต้นจากถูกตัดพันนั้น นางมุณีได้มาหาจำเลยที่บ้านโดยบอกว่าจะมาดูแนวเขตที่ดิน แล้วจำเลยกับนางมุณีได้ไปดูที่เกิดเหตุด้วยกัน ซึ่งขณะนั้นมีนายเหื้อง นายละเวง นายนับ อยู่ที่นั่นด้วย และจำเลยก็ยอมรับด้วยว่าหลังจากเกิดเหตุแล้ว ๒ วัน นายเจริญผู้ใหญ่บ้าน นายสุทินและโจทก์ได้มาสอบถามจำเลยว่าเห็นใครตัดต้นจากหรือไม่ สำหรับเหตุการณ์ในตอนที่นายเจริญผู้ใหญ่บ้านนายสุทินนายโจทก์มาสอบถามจำเลยนี้ โจทก์มีตัวโจทก์และนายสุทิน นาคเป้า เป็นพยานเบิกความต้องกันว่า เนื่องจากโจทก์ทราบจากนางเลียบมารดานายเจริญผู้ใหญ่บ้านว่า เห็นจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุนั้นด้วย ดังนั้นในวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๒๖ (หลังเกิดเหตุแล้ว ๒ วัน) เมื่อตรวจดูที่เกิดเหตุกันแล้ว โจทก์และนายสุทินพยานโจทก์พร้อมด้วยนายเจริญผู้ใหญ่บ้านจึงได้พากันไปบ้านจำเลย เพื่อสอบถามว่าเห็นใครตัดต้นจากบ้าง โจทก์และนายสุทินพยานโจทก์ต่างเบิกความยืนยันว่า เมื่อนายเจริญผู้ใหญ่บ้านสอบถามจำเลยนั้น จำเลยบอกว่าเห็นนางมุณี นายเหื้อง นายละเวง นายนับ เป็นคนตัด ถึงแม้โจทก์จะมิได้นำนายเจริญผู้ใหญ่บ้านมาเบิกความประกอบคำของโจทก์ และนายสุทินก็ตาม แต่นายเจริญผู้ใหญ่บ้านผู้นี้ก็ได้เคยเบิกความไว้ในชั้นไต่สวยมูลฟ้องคดีนี้ว่า เมื่อไปสอบถามจำเลยนั้น จำเลยบอกว่าเห็นนางมุณี นายเหื้อง นายละเวงมาถางเขตที่ดิน นอกจากนี้นายเจริญผู้ใหญ่บ้านก็ยังได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๕๒/๒๕๒๖ ว่า เมื่อไปสอบถามจำเลยนั้น จำเลยบอกว่าเห็นนายละเวง นายเหื้อง นายนับ นางมุณี ดังปรากฏตามสำเนาคำเบิกความเอกสารหมาย จ.๑ ซึ่งตามพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าว คดีมีน้ำหนักและเหตุผลรับฟังได้ว่า หลังจากเกิดเหตุแล้ว ๒ วัน คือวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๒๖ นายเจริญผู้ใหญ่บ้าน นายสุทินพยานโจทก์ และตัวโจทก์ได้ไปสอบถามจำเลยว่าใครเป็นคนตัดต้นจากในที่เกิดเหตุ จำเลยบอกว่า นางมุณี นายเหื้อง นายละเวง นายนับ เป็นคนตัด และพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่า บ้านจำเลยอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุเพียงประมาณ ๑๐ วา เมื่ออยู่ที่บ้านจำเลยสามารถมองเห็นที่เกิดเหตุนั้นได้ และโจทก์นำสืบว่าเมื่อมีคนมาตัดต้นจากหรือต้นไม้ในที่เกิดเหตุนั้น คนที่บ้านจำเลยจะต้องได้ยินเสียง ซึ่งจำเลยมิได้นำสืบหักล้างในข้อนี้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า เมื่อมีคนมาตัดต้นจากในที่เกิดเหตุนั้น จำเลยได้รู้เห็นว่าใครเป็นคนตัด ครั้นเมื่อนายเจริญผู้ใหญ่บ้าน นายสุทิน และโจทก์มาสอบถาม จำเลยจึงได้บอกไปตามที่ตนรู้เห็นว่า นางมุณี นายเหื้อง นายละเวง และนายนับเป็นคนตัด ฉะนั้น การที่จำเลยเบิกความในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๕๒/๒๕๒๖ ว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยไม่เห็นใครเป็นคนตัดต้นจาก และเมื่อนายเจริญกับพวกมาสอบถาม จำเลยได้บอกไปว่าไม่เห็นนั้น จึงเป็นการเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล และข้อเท็จจริงนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี เป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องโจทก์ จำเลยจึงมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๗
ส่วนที่จำเลยแก้ฎีกาอ้างว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งว่าคำเบิกความของจำเลยอันเป็นเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี จึงขาดองค์ประกอบที่จะเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ นั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องระบุถ้อยคำมาให้ชัดแจ้งว่า ข้อที่จำเลยเบิกความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี แต่โจทก์ก็ได้บรรยายข้อเท็จจริงไว้ด้วยว่าจำเลยเป็นประจักษ์พยานในคดี หากศาลเชื่อตามคำเบิกความอันเป็นเท็จของจำเลย อาจทำให้คดีของโจทก์ขาดประจักษ์พยาน โจทก์อาจได้รับความเสียหาย ซึ่งตามข้อความดังกล่าวนี้ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าคำเบิกความอันเป็นเท็จของจำเลยนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ถือไม่ได้ว่าฟ้องโจทก์ขาดองค์ประกอบที่จะเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ ข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share