แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายเพียงว่า จำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์น้อยกว่าค่าทดแทนที่โจทก์ควรได้รับตามหลักเกณฑ์แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงถือได้ว่าจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหายแก่ทรัพย์สินโดยละเมิดเท่านั้นไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างไรและกระทำผิดต่อกฎหมายประการใด จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินจำนวน2 แปลง อยู่ติดกับทางหลวงชนบทสายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 41จำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีวัตถุประสงค์ให้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ของราษฎรโดยการเวนคืน เพื่อใช้ในการก่อสร้างและขยายทางดังกล่าวให้เป็นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4228จำเลยได้เวนคืนที่ดินของโจทก์ทั้งสองบางส่วนโดยจ่ายเงินค่าทดแทนให้โจทก์ที่ 1 จำนวน 8,925 บาท สำหรับที่ดินจำนวน 238 ตารางวา และโจทก์ทั้งสองได้ยอมรับเนื่องจากเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นจำนวนเงินที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของการเวนคืนต่อมาโจทก์ทั้งสองจึงทราบว่าค่าทดแทนที่จำเลยจ่ายให้ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยโจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตารางวาละ100 บาท รวมเป็นเงิน 44,600 บาท แต่โจทก์ทั้งสองได้รับเงินค่าทดแทนรวมกันเพียง 16,725 บาท ถือว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์ทั้งสองโดยผิดกฎหมายทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย จำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 27,875 บาทและยังทำให้โจทก์ทั้งสองเสียสิทธิในการอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและการฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกเงินค่าทดแทนเพิ่มโจทก์ทั้งสองขอเรียกค่าสินไหมทดแทนในอัตราตารางวาละ 36 บาทเป็นเงินจำนวน 16,056 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ทั้งสองเป็นเงินจำนวน 43,931 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่มีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนคือวันที่ 31 ธันวาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เนื่องจากโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยกระทำละเมิดเมื่อวันเวลาใด จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่าจำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์ทั้งสองเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2535ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องและคำให้การประกอบข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยาน จึงมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ทั้งสองและจำเลย แล้วพิพากษายกฟ้อง เพราะฟ้องโจทก์ทั้งสองเคลือบคลุม และโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งสองได้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนโดยอ้างมูลละเมิดเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 โจทก์ทั้งสองไม่ได้ฟ้องคดีเพื่อเรียกเงินค่าทดแทนเพิ่มตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 จึงไม่จำต้องอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีก่อน และคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องไว้อย่างชัดแจ้งเข้าหลักกฎหมายเรื่องละเมิดแล้ว จำเลยก็ต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องของโจทก์ทั้งสองจึงไม่เคลือบคลุม พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองบรรยายเพียงว่า จำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งสองน้อยกว่าค่าทดแทนที่โจทก์ทั้งสองควรได้รับตามหลักเกณฑ์แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงถือได้ว่าจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์ทั้งสองโดยผิดกฎหมายให้โจทก์ทั้งสองเสียหายแก่ทรัพย์สินโดยละเมิดเท่านั้นไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างไรและกระทำผิดต่อกฎหมายประการใด จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน