แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้หนึ่งที่มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาจะขายอาคารพาณิชย์พิพาทแก่โจทก์โดย ตามแผนผังอาคารพาณิชย์ที่จำเลยที่ 2 ทำขึ้นและใบเสนอราคาหัวกระดาษที่จำเลยที่ 2 นำมาให้แก่โจทก์ระบุชื่อจำเลยที่ 1 ย่อมทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าเป็นเอกสารของจำเลยที่ 1 อีกทั้งบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ระบุชัดเจนว่าโครงการสร้างอาคารพาณิชย์พิพาทเป็นโครงการที่ 3 ของจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 2 เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ตามป.พ.พ. มาตรา 821 ดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผูกพันต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในกิจการที่จำเลยที่ 2 ได้กระทำเสมือนว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของตน
การตั้งตัวแทนที่ต้องทำเป็นหนังสือตามป.พ.พ. มาตรา 798 นั้นเป็นบทบังคับกรณีการตั้งตัวแทนตามปกติทั่ว ๆ ไป แต่การเป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายจึงหาจำต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าที่ดินและอาคารพาณิชย์ ห้องเลขที่ ๗๒๙/๑๑๕ และเลขที่ ๗๒๙/๑๑๖ ตำบลบางโพงพาง อำเภอยานนาวา กรุงเทพมหานคร ในราคาห้องละ ๑,๖๕๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ หากไม่โอนให้ชดใช้เงิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่เจ้าของโครงการก่อสร้าง ไม่เคยให้คำมั่นหรือมอบหมายให้จำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทน ทำคำมั่นใด ๆ กับโจทก์ โจทก์เสียหายไม่เกิน ๕๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษา ให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าที่ดินและอาคารพาณิชย์เลขที่ ๗๒๙/๑๑๕ และเลขที่ ๗๒๙/๑๑๖ แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร แก่โจทก์ หากไม่ไปจดทะเบียนโอนให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเสียหายจำนวน ๑,๗๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ ๒ และนายสุชาติ สันตติทรัพย์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของโครงการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ชื่อเจฟ้อน มินิ ออฟฟิศ ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้เสนอให้โจทก์เช่าที่ดินและซื้ออาคารพาณิชย์หมายเลข B ๑๓ และ B ๑๔ ของโครงการดังกล่าวรวม ๒ ห้อง ในราคาห้องละ ๑,๖๕๐,๐๐๐ บาท โจทก์ตกลงและได้ทำสัญญากันไว้ ตามเอกสารหมาย จ.๕ เมื่อจำเลยทั้งสองก่อสร้างอาคารพาณิชย์เสร็จแล้ว โจทก์เรียกร้องให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าที่ดินและอาคารพาณิชย์ ๒ ห้องดังกล่าว แต่จำเลยเพิกเฉย
จำเลยที่ ๑ นำสืบว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นเจ้าของโครงการก่อสร้างอาคารพาณิชย์พิพาท จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นกรรมการคนหนึ่งของจำเลยที่ ๑ กับพวกเป็นเจ้าของโครงการดังกล่าวไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑
พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการ จำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ จำเลยที่ ๒ ตกลงจะขายอาคารพาณิชย์พิพาทห้องเลขที่ B ๑๓ และ B ๑๔ ให้โจทก์ในราคาห้องละ ๑,๖๕๐,๐๐๐ บาท ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.๕ มีปัญหาแรกที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ ๑ ว่า จำเลยที่ ๒ ตกลงขายอาคารพาณิชย์พิพาทแก่โจทก์ในฐานะตัวแทนจำเลยที่ ๑ หรือไม่ โจทก์เบิกความว่า ในวันทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าว จำเลยที่ ๒ ทำแผนผังการก่อสร้างอาคารพาณิชย์โครงการ ๓ โดยทำเครื่องหมายกากบาทห้อง ๑๓ และ ๑๔ โครงการดังกล่าวมีชื่อว่า เจฟ้อน มินิ ออฟฟิศ ตามเอกสารหมาย จ.๓ และจำเลยที่ ๒ นำใบเสนอราคาตามเอกสารหมาย จ.๔ มาให้โจทก์ด้วย เห็นว่า จำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้หนึ่งที่มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.๖ นอกจากนี้แผนผังอาคารพาณิชย์ตามเอกสารหมาย จ.๓ และใบเสนอราคาตามเอกสารหมาย จ.๔ หัวกระดาษเอกสารดังกล่าวระบุชื่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งย่อมทำให้บุคคลทั่วไป เข้าใจว่าเอกสารหมาย จ.๓ และ จ.๔ เป็นเอกสารของจำเลยที่ ๑ ประการสำคัญบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ ตามเอกสารหมาย จ. ๕ ระบุชัดเจนว่าโครงการสร้างอาคารพาณิชย์พิพาทเป็นโครงการที่ ๓ ของจำเลยที่ ๑ การกระทำของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ ๑ ยอมให้จำเลยที่ ๒ เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๑ ส่วนที่จำเลยที่ ๑ อ้างว่าเอกสารหมาย จ.๕ เป็นนิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ เท่านั้น จำเลยที่ ๑ มิได้เกี่ยวข้องด้วย จึงไม่ต้องรับผิดนั้น เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวแล้วว่าจำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ ๑ ดังนั้น จำเลยที่ ๑ ย่อมต้องมีความผูกพันต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในกิจการที่จำเลยที่ ๒ ได้กระทำเสมือนว่าจำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนของตน จำเลยที่ ๑ จะอ้างว่ามิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์หาได้ไม่ ฎีกาจำเลยที่ ๑ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกาปัญหาที่สองว่า มูลพิพาทคดีนี้เป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งจะต้องทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่การมอบอำนาจในการให้คำมั่นตามเอกสารหมาย จ.๕ จึงต้องทำเป็นหนังสือด้วย จำเลยที่ ๒ จึงเป็นตัวแทนโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๙๘ นั้น เห็นว่า การตั้งตัวแทนที่ต้องทำเป็นหนังสือตามบทกฎหมายดังกล่าวนั้นเป็นบทบังคับกรณีการตั้งตัวแทนตามปกติทั่ว ๆ ไป แต่การเป็นตัวแทนเชิดเกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายหาจำต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือไม่ฎีกาจำเลยที่ ๑ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น_ _ _
พิพากษายืน