แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้ ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์และคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสี่ว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันบุกรุกเข้าไปก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดฟัน เผาป่า โค่นไม้ ก่อความเสียหายแก่ป่าไม้ และยึดถือครอบครองที่ดินป่าที่เกิดเหตุ ซึ่งตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 72 ตรี วรรคสาม บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีคำพิพากษาชี้ขาดว่าบุคคลใดกระทำความผิดตามมาตรานี้ ถ้าปรากฏว่าบุคคลนั้นได้ยึดถือครอบครองป่าที่ตนได้กระทำความผิด ศาลมีอำนาจที่สั่งให้ผู้กระทำผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารของผู้กระทำผิด ออกไปจากป่านั้นได้ด้วย” ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่ได้ยึดถือครอบครองป่าที่เกิดเหตุ ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้จำเลยทั้งสี่ คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสี่ออกไปจากป่าที่เกิดเหตุได้ด้วย โดยโจทก์หาจำต้องมีคำขอในข้อดังกล่าวมาด้วย ปัญหานี้แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้าง แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4, 5, 6, 7, 11, 54, 69, 70, 72 ตรี, 73, 74 ทวิ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 4, 14, 31 (2), 34, 35 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27, 27 ทวิ พระราชบัญญัติเลื่อยโซ่ยนต์ พ.ศ.2545 มาตรา 3, 4, 13 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยทั้งสี่ขอถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง เฉพาะจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การรับสารภาพฐานร่วมกันซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งเลื่อยโซ่ยนต์ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของต้องห้ามต้องจำกัดที่มีผู้ลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยยังมิได้เสียค่าภาษีและยังมิได้ผ่านศุลกากร
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง, 54 วรรคหนึ่ง, 69 วรรคสอง (2), 72 ตรี วรรคหนึ่ง, 73 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ทวิ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันก่นสร้าง แผ้วถาง กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานร่วมกันทำไม้หรือทำอันตรายด้วยประการใดๆ แก่ไม้หวงห้าม โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามประเภท ก. อันยังมิได้แปรรูป โดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย จำคุกคนละ 8 ปี ฐานร่วมกันซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้ด้วยประการใดซึ่งเลื่อยยนต์ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของต้องห้ามต้องจำกัดที่มีผู้ลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยยังมิได้เสียค่าภาษีและยังมิได้ผ่านศุลกากร จำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 คนละ 1 ปี จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานร่วมกันก่นสร้าง แผ้วถาง กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 3 เดือน ฐานร่วมกันทำไม้หรือทำอันตรายด้วยประการใดๆ แก่ไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาตคงจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 1 ปี ฐานร่วมกันมีไว้ครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป โดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 4 ปี ฐานร่วมกันซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ด้วยประการใดซึ่งเลื่อยโซ่ยนต์โดยรู้อยู่ว่าเป็นของต้องห้ามต้องจำกัดที่มีผู้ลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้เสียค่าภาษีและยังมิได้ผ่านศุลกากร จำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 คนละ 6 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 คนละ 5 ปี 9 เดือน จำคุก จำเลยที่ 4 มีกำหนด 5 ปี 3 เดือน ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 11, 73 วรรคสอง (ที่ถูก 73 วรรคสอง (2)) สำหรับความผิดฐานร่วมกันก่นสร้าง แผ้วถางป่าและทำไม้หวงห้ามในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ฐานร่วมกันทำไม้หวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 11, 73 วรรคสอง (ที่ถูก 73 วรรคสอง (2)) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกคนละ 2 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามประเภท ก. และฐานร่วมกันซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้ด้วยประการใดซึ่งเลื่อยโซ่ยนต์โดยรู้อยู่ว่าเป็นของต้องห้าม โดยยังมิได้เสียค่าภาษีและยังมิได้ผ่านศุลกากร รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 คนละ 11 ปี จำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 10 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 คนละ 5 ปี 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ถอนฎีกา จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ออกเสียจากสารบบความศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 4 ฎีกา ขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 4 มานั้นเหมาะสมแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 4 ฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ลงโทษจำคุกฐานมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป 4 ปี แม้จำเลยที่ 4 จะไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนก็ไม่อาจรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยที่ 4 ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ฎีกาของจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์และคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสี่ว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันบุกรุกเข้าไปก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดฟัน เผาป่า โค่นไม้ ก่อความเสียหายแก่ป่าไม้ และยึดถือครอบครองที่ดินป่าที่เกิดเหตุ ซึ่งตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 72 ตรี วรรคสาม บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีคำพิพากษาชี้ขาดว่าบุคคลใดกระทำความผิดตามมาตรานี้ ถ้าปรากฏว่าบุคคลนั้นได้ยึดถือครอบครองป่าที่ตนได้กระทำความผิด ศาลมีอำนาจที่สั่งให้ผู้กระทำผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของผู้กระทำผิดออกไปจากป่านั้นได้ด้วย” ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่ได้ยึดถือครอบครองป่าที่เกิดเหตุ ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้จำเลยทั้งสี่ คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสี่ออกไปจากป่าที่เกิดเหตุได้ด้วย โดยโจทก์หาจำต้องมีคำขอในข้อดังกล่าวมาด้วย ปัญหานี้แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้าง แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสี่ออกไปจากป่าที่เกิดเหตุตามฟ้องด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8