คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6981/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขับรถจักรยานยนต์ของ ส. ไปซื้อส้มตำจากผู้เสียหายแม้จำเลยเพิ่งมีเจตนาชิงทรัพย์ผู้เสียหายขณะเห็นผู้เสียหายกำลังตำส้มตำ แต่ในขณะนั้นจำเลยย่อมทราบดีว่าเมื่อกระทำความผิดแล้วจำเลยต้องใช้รถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับมาเป็นยานพาหนะในการหลบหนีจำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าไม่มีเจตนาใช้รถจักรยานยนต์พาทรัพย์ที่ชิงได้มานั้นไปหรือพาตนเองให้พ้นจากการจับกุม ส่วนการที่จำเลยนำรถจักรยานยนต์ไปคืนที่บ้าน ส. ก็เป็นเรื่องหลังจากจำเลยกระทำความผิดสำเร็จแล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการชิงทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยชิงทรัพย์ผู้เสียหายโดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด การพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 340 ตรี
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคแรก ประกอบมาตรา 340 ตรี จำคุก 12 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยชิงทรัพย์ผู้เสียหายแล้วจำเลยขับรถจักรยานยนต์หลบหนี ที่จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 ตรี เพราะจำเลยนำรถจักรยานยนต์ไปซื้ออาหารแต่การกระทำของจำเลยเกิดขึ้นเมื่อเห็นผู้เสียหายกำลังตำส้มตำ จำเลยจึงหยิบมีดฝานมะละกอจี้บังคับผู้เสียหายเอาทรัพย์ไป เมื่อจำเลยชิงทรัพย์ได้แล้วได้ขับรถจักรยานยนต์ไปคืนที่บ้านเรืออากาศเอกสมพงษ์ จำเลยไม่มีเจตนาใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุมนั้น เห็นว่าตามพฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยใช้มีดฝานมะละกอของผู้เสียหายเองจี้ผู้เสียหาย ทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยเพิ่งมีเจตนากระทำความผิดขณะเห็นผู้เสียหายกำลังตำส้มตำ แต่ในขณะนั้นจำเลยย่อมทราบดีว่าเมื่อกระทำความผิดแล้วจำเลยต้องใช้รถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับมาเป็นยานพาหนะในการหลบหนี ดังนั้นจำเลยจะอ้างว่าไม่มีเจตนาใช้รถจักรยานยนต์พาทรัพย์ที่ชิงได้มานั้นไปหรือพาตนเองให้พ้นจากการจับกุมหาได้ไม่ แม้ต่อมาจำเลยจะนำรถจักรยานยนต์ไปคืนที่บ้านเรืออากาศเอกสมพงษ์ก็เป็นเรื่องหลังจากจำเลยกระทำความผิดสำเร็จแล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี
พิพากษายืน

Share