คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7242/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยที่1ซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลแล้วต่อมาจำเลยที่1ไม่ได้ขายที่พิพาทให้โจทก์ตามที่โจทก์อ้างว่าผู้แทนของจำเลยที่1รับรองว่าจะขายให้โจทก์ในภายหลังแต่ได้ขายให้จำเลยที่2และที่3กรณีหาใช่ตัวแทนของจำเลยที่1ใช้อุบายหลอกลวงให้โจทก์หลงเชื่อเข้าแสดงเจตนาทำนิติกรรมกับจำเลยที่1ไม่เพราะไม่มีนิติกรรมใดที่ตัวแทนของจำเลยที่1ร่วมกับจำเลยที่2และที่3ได้หลอกลวงโจทก์ให้แสดงเจตนาอันได้มาเพราะกลฉ้อฉลที่จะทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา121เดิมและมาตรา124(เดิม) ที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ไม่ได้เข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดที่พิพาททำให้จำเลยที่1ซื้อที่พิพาทในราคาต่ำกว่าราคาเป็นจริงหลายเท่าตัวนั้นหากโจทก์เห็นว่าการขายทอดตลาดที่พิพาทของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ชอบโจทก์ต้องไปว่ากล่าวในคดีก่อนเมื่อจำเลยที่1ได้ซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยชอบจำเลยที่1ย่อมมีสิทธิโอนขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่2และที่3ต่อไปได้โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมในคดีนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 1 โดยนำที่ดินพิพาทจำนองเป็นประกันหนี้ ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ยึดที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดโจทก์ ขอไถ่ถอนคืน แต่ตัวแทนจำเลยที่ 1 ขอให้โจทก์อย่าไถ่ถอน หากจำซื้อคืนก็จะขายคืนแก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ทำหนังสือขอซื้อที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 แจ้งว่าได้ขายให้ผู้อื่นไปแล้วอันเป็นการร่วมกันกระทำกลฉ้อฉล นิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตกเป็นโมฆะขอให้พิพากษาว่าการซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นโมฆะให้จำเลยทั้งสามไปจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายกลับคืนให้อยู่ในสภาพเดิมแล้วให้จำเลยที่ 1 ขายที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง โดยให้โจทก์วางเงินชำระราคาที่ดินต่อศาล
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์และเป็นผู้ประมูลซื้อที่พิพาทได้จากการขายทอดตลาด จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว มีอำนาจขายที่ดินให้แก่บุคคลใด ๆก็ได้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1โดยสุจริต มิได้กระทำกลฉ้อฉล โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่ได้ขายที่พิพาทให้โจทก์ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม แต่ได้ขายให้จำเลยที่ 2 และที่ 3แม้ว่าโจทก์จะเคยติดต่อซื้อที่พิพาทคืนจากนายสมบูรณ์ผู้จัดการของจำเลยที่ 1 สาขาพนัสนิคม แต่นายสมบูรณ์บอกโจทก์ว่าให้จำเลยที่ 1ซื้อไปก่อน หากโจทก์ประสงค์จะซื้อคืนจำเลยที่ 1 จะขายให้ในภายหลังกรณีหาใช่ตัวแทนของจำเลยที่ 1 ใช้อุบายหลอกลวงให้โจทก์หลงเชื่อเข้าแสดงเจตนาทำนิติกรรมกับจำเลยที่ 1 ไม่ เพราะไม่มีนิติกรรมใด ๆที่ตัวแทนของจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 หลอกลวงโจทก์ให้แสดงเจตนาอันได้มาเพราะกลฉ้อฉลที่จะทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 121 (เดิม) และมาตรา124 (เดิม) ดังที่โจทก์เข้าใจ หากโจทก์จะปรับเอาผิดกับจำเลยที่ 1ก็เป็นเรื่องที่ตัวแทนของจำเลยที่ 1 ผิดคำรับรองต่อโจทก์ที่รับว่าจะทำให้แล้วไม่ทำให้ซึ่งไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายแต่อย่างใด ที่โจทก์อ้างว่าไม่ได้เข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดที่พิพาททำให้จำเลยที่ 1ซื้อที่พิพาทในราคาต่ำกว่าราคาเป็นจริงหลายเท่าตัวนั้น หากโจทก์เห็นว่า การขายทอดตลาดที่พิพาทของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ชอบโจทก์ต้องไปว่ากล่าวในคดีก่อน เมื่อจำเลยที่ 1 ซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยชอบ จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิโอนขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่อไปได้ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตามฟ้อง
พิพากษายืน

Share