แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินมีตราจองก่อน พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน (ฉะบับที่ 6) พ.ศ. 2479 นั้น แม้เจ้าพนักงานจะได้ตราไว้ว่า “ได้ทำประ โชน์แล้ว” หรือตราไว้ว่า “ทำประโชน์สมควรแก่เนื้อที่” แล้วศาลฎีกาก็เห็นว่า ตราจองชะนีดนี้ถ้าผู้ถือตราจองได้ ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมาโดยมิได้ละทิ้งจนถึงวันประกาศใช้ พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน (ฉะบับที่ 6) พ.ศ. 2479 แล้ว มาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงรับรองว่า ผู้ถือตราจองมีกรรมสิทธิที่ดินตามตราจองนั้น.
ฉะนั้นเมื่อก่อนออก พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน (ฉะบับที่ 6) พ.ศ. 2479 เจ้าของที่ดินตามตราจอง แม้ที่ตราไว้ว่า ” ได้ทำ ประโยชน์แล้ว” ก็ตาม ถ้าได้ทอดทิ้งไม่ทำให้เป็นประโยชน์เกิน 3 ปีแล้ว ที่ดินนั้นก็กลับเป็นที่ว่างเปล่าตามเดิม และ แม้จะโอนให้ใคร ๆต่อไป จะเป็นการโอนทางทะเบียนหรือไม่ก็ดี ผู้รับโอนก็ย่อมไม่ได้สิทธิอะไรในที่ดินนั้น
ย่อยาว
คดี ๓ สำนวนนี้ โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์ตามตราจองที่ ๑๑๑ ซึ่งแยกมาจากตราจองที่ ๑ ฯลฯ เนื้อที่ ๙๐ ไร่ ๓ งาน ๒๘ วา นายสำราญขายให้โจทก์เป็นราคา ๒๐๐๐ บาท โดยแก้ทะเบียนโอนกรรมสิทธิ ณ หอทะเบียนที่ดินเมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๔๙๑ ต่อมาระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคม ๒๔๙๑ จำเลยทั้ง ๓ สำนวนนี้ ได้บังอาจนำเจ้าพนักงานรังวัดรุกล้ำ ครอบครองที่ดินรายนี้ตลอดทั้งหมดทั้งแปลง เพื่อขอออกตราจองโดยอ้างว่า เป็นที่ดินของจำเลยแต่ละส่วน ฯลฯ จึงขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของโจทก์ และขับไล่จำเลย.
จำเลยทั้ง ๓ สำนวนต่อสู้ว่า เมื่อ ๑๔ – ๑๕ ปีมานี้ จำเลยทุกคนเว้นแต่นางไปล่ ได้เข้าโค่นสร้างที่ป่าทำเป็นสวนและนา ทั้ง ได้ปลูกเรือนอยู่ในที่ดินรายนี้ตลอดมา ฯลฯ และว่าตราจองที่ ๑ มิได้ทำประโยชน์ภายในกำหนด ๓ ปี ที่ดินคงเป็นป่าตาม เดิม จึงไม่ทำให้ตราจองที่ ๑๑๑ ซึ่งแยกมาเกิดสิทธิหวงห้ามแต่อย่างใด
ศาลชั้นต้นพิจารณาคดี ๓ สำนวนนี้รวมกันฟังว่า ตราจองที่ ๑ เป็นของนางหมา ๆ แบ่งขายให้นายชื่น จึงทำตราจองแยก ออกเป็นตราจองที่ ๑๑๑ ครั้น พ.ศ. ๒๔๙๐ นายชื่นขายให้นายสำราญ พ.ศ. ๒๔๙๑ นายสำราญขายให้โจทก์ ที่ดินพิพาทอยู่ ในเขตตราจองของโจทก์ ตราจองที่ ๑๑๑ นี้ตราไว้ว่า “ได้ทำประโยชน์แล้ว” โจทก์ย่อมมีกรรมสิทธิในที่พิพาท จึงพิพากษา ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้อง.
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน.
จำเลยทั้ง ๓ สำนวนฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่า ตราจองที่ ๑๑๑ ซึ่งแยกมาจากตราจองที่ ๑ นั้น เจ้าพนักงานได้ตราไว้ว่า “ได้ทำประโยชน์แล้ว” ทั้งตรา จองที่ ๑ เมื่ออกมาครบ ๓ ปีแล้ว เจ้าพนักงานได้ตราไว้ว่า “ทำประโยชน์สมควรแก่เนื้อที่” แต่ตราจองทั้งสองที่นั้น มีหมาย เหตุไว้ว่า ถ้าผู้ที่ถือที่ดินรายนี้ทอดทิ้งไว้ไม่ทำประโยชน์เกิน ๓ ปี ที่นี้ต้องเป็นที่ว่างเปล่า ศาลฎีกาเห็นว่าตราจองชะนิดนี้ ถ้าผู้ถือตราจองได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมาโดยมิได้ละทิ้ง จนถึงวันประกาศใช้ พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน (ฉะบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๔๗๙ แล้ว มาตรา ๑๑ แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว จึงรับรองว่าผู้ถือตราจองมีกรรมสิทธิทีดินตามตราจองนั้น.
พิเเคราะห์คำพยานทั้งสองฝ่ายแล้ว น่าเชื่อว่าเจ้าของตราจองเลขที่ ๑ ได้ครอบครองที่ดินตามตราจองมาบ้างเป็นส่วนน้อย แล้วก็ตัดแบ่งขายไปหลายราย เฉพาะตราจองเลขที่ ๑๑๑ นี้ ไม่ได้ความว่าเจ้าของเดิมได้ครอบครองมาก่อนแบ่งแยกอย่าง ไร่ ครั้นเมื่อแบ่งแยกโอนมาแล้วไม่ปรากฎชัดว่า ผู้รับโอนได้ครอบครองปลูกบ้านและทำนาตอนหนึ่ง ที่พิพาทนอกนั้นยัง คงเป็นป่าอยู่ จึงต้องถือว่าตราจองเลขที่ ๑ เฉพาะที่พิพาทเจ้าของตราจองได้ทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์เกิน ๓ ปี ก่อนแยกที่ พิพาทออกเป็นตราจองที่ ๑๑๑ แล้วที่พิพาทกลับเป็นที่ว่างเปล่าตามเดิม นางหมาเจ้าของตราจองหามีสิทธิประการใดไม่ เมื่อ เป็นเช่นนี้การแยกตราจองออกเป็นตราจองที่ ๑๑๑ แล้ว โอนกันต่อไป ก็ย่อมไร้ผล ไม่ทำให้โจทก์กลับมีสิทธิในที่ พิพาท.
จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์./