คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6965/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ เป็นกรณีที่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ที่ให้พึงกระทำได้ก็ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษและคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น ส่วนข้อความในบทบัญญัติดังกล่าวที่ว่า “เว้นแต่ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย” นั้น ใช้บังคับเฉพาะในกรณีที่มีเหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุสุดวิสัยที่ทำให้คู่ความฝ่ายนั้นไม่อาจมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้นและได้มีคำขอภายหลังเมื่อสิ้นระยะเวลาเช่นว่านั้นไปแล้ว ซึ่งกรณีเช่นว่านี้การขอขยายระยะเวลานอกจากจะพึงกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษแล้วยังจะต้องเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยด้วย เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ซึ่งยังอยู่ภายในระยะเวลาที่ยังสามารถนำเงินมาชำระได้ คำร้องดังกล่าวจึงพึงกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษเท่านั้นไม่อยู่ในบังคับว่าต้องเป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัยด้วย ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยไปถึงว่าคำร้องของจำเลยที่ 2 มีเหตุสุดวิสัยหรือไม่ จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 300,000บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์จำนวน 75,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ต่อไปอีกเดือนละ 4,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทนแต่ไม่เกิน 6 เดือน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องหากจำเลยที่ 2 ยังติดใจอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ให้จำเลยที่ 2 นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 10 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งนี้โดยศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งให้จำเลยทั้งสองฟังเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2543

วันที่ 1 มิถุนายน 2543 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 ยังไม่มีเงินเพียงพอที่จะชำระค่าธรรมเนียมศาลและต้องใช้ระยะเวลาติดต่อขอกู้เงินจากธนาคารหรือญาติพี่น้องและเพื่อน ๆ หรือนำทรัพย์สินไปขายหรือจำนำเพื่อนำเงินมาวางชำระต่อศาล ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ออกไปอีก 30 วัน นับแต่วันมีคำสั่ง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ข้ออ้างตามคำร้องของจำเลยที่ 2 ที่ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์เป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัยและศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คำร้องของจำเลยที่ 2 ที่ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ตามที่ศาลอุทธรณ์ได้กำหนดไว้นั้นเป็นกรณีที่อยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ซึ่งบัญญัติให้พึงกระทำได้ก็ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษและคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น ส่วนข้อความของบทบัญญัติดังกล่าวที่ว่า “เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย” นั้นใช้บังคับเฉพาะในกรณีที่มีเหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุสุดวิสัยที่ทำให้คู่ความฝ่ายนั้นไม่อาจมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้นและได้มีคำขอภายหลังเมื่อสิ้นระยะเวลาเช่นว่านั้นไปแล้ว ในกรณีเช่นว่านี้การขอขยายระยะเวลานอกจากจะพึงกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษแล้วยังจะต้องเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยด้วย คดีนี้จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2543 ซึ่งอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาที่จำเลยที่ 2 ยังสามารถนำเงินมาวางชำระค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ได้ คำร้องขอขยายระยะเวลาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว พึงกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษเท่านั้นไม่อยู่ในบังคับว่าต้องเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยด้วย ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยไปถึงว่าคำร้องของจำเลยที่ 2 มีเหตุสุดวิสัยหรือไม่ จึงชอบแล้ว ทั้งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ที่ว่า ข้ออ้างตามคำร้องของจำเลยที่ 2 ยังถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษตามกฎหมายที่จะขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 2 ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share