แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยมีเจตนาที่จะมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองมีความผิดมาตั้งแต่เริ่มครอบครองเป็นกรรมหนึ่งและมีเจตนาที่จะพกอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในทางสาธารณะโดยผิดกฎหมายก็เป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งจึงเป็นความผิดสองกรรม อาวุธปืนซึ่งไม่มีเครื่องหมายของเจ้าพนักงานประทับและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32แม้โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาเรื่องของกลางก็ตามแต่เมื่อโจทก์มีคำขอให้ริบของกลางมาแล้วทั้งมิใช่กรณีเพิ่มเติมโทษจำเลยก็ชอบที่จะวินิจฉัยในเรื่องของกลางด้วยศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ริบของกลาง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2538 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือจำเลยมีอาวุธปืนลูกซองสั้น ขนาดเบอร์ 12 จำนวน 1 กระบอกไม่มีเครื่องหมายของเจ้าพนักงานประทับไว้ และกระสุนปืนลูกซองขนาดเบอร์ 12 จำนวน 2 นัด ซึ่งกระสุนปืนกับอาวุธปืนดังกล่าวใช้ยิงได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยพาอาวุธปืนลูกซองสั้นดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านทางสาธารณะตามถนนสายบ้านปวนพุ บ้านหลักร้อยหกสิบ โดยไม่มีเหตุสมควร โดยจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวไปและไม่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยอาวุธปืนลูกซองสั้นและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ,72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 91 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 8 ทวิวรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ตอนแรก ลงโทษฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองจำคุก 1 ปี ลงโทษฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านและทางสาธารณะจำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือน
จำเลย อุทธรณ์ ขอให้ รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่า การที่จำเลยมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมื่อ หมู่บ้านและทางสาธารณะเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าข้อกฎหมายดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยจำเลยฎีกาได้แม้มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์การที่จำเลยมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนดังกล่าวไปนั้นเห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองมีความผิดมาตั้งแต่เริ่มครอบครองเป็นกรรมหนึ่งและมีเจตนาที่จะพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในทางสาธารณะโดยผิดกฎหมายก็เป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง จึงเป็นความผิดสองกรรม แยกจากกันได้ หาใช่เป็นการกระทำโดยต่อเนื่องดังที่จำเลยฎีกาไม่ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่างกรรมกัน จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลย่อมลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ของกลางเป็นทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32 แม้โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาเรื่องของกลางก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มีคำขอให้ริบของกลางมาแล้วทั้งมิใช่กรณีเพิ่มเติมโทษจำเลย ก็ชอบที่จะวินิจฉัยในเรื่องของกลางด้วยที่ศาลล่างทั้งสองมิได้สั่งริบของกลางศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยและต้องแก้ในส่วนนี้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1