คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6955/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสามสิบออกจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์ร่วม อันเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งแม้ในคำฟ้องจะไม่ปรากฏว่าที่ดินที่จำเลยทั้งสามสิบแต่ละคนครอบครองนั้นโจทก์และโจทก์ร่วมอาจนำออกให้เช่าได้ในอัตราเดือนละเท่าใด แต่ปรากฏว่าโจทก์เช่าที่ดินทั้งหมดจากโจทก์ร่วมในราคา 450 บาท ต่อปี ดังนั้น คดีระหว่างโจทก์และโจทก์ร่วมกับจำเลยทั้งสามสิบในแต่ละคนจึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง การที่จำเลยทั้งสามสิบอุทธรณ์ว่า สัญญาเช่าที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วมไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์และโจทก์ร่วมทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยทั้งสามสิบเข้าไปปลูกไม้ดอกไม้ประดับในที่ดินพิพาทตามโครงการเฉลิมพระเกียรติของอำเภอตั้งแต่ปี 2540 อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามสิบดังกล่าวมาก็เป็นการไม่ชอบ และถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยทั้งสามสิบจึงฎีกาในปัญหานี้ต่อมาไม่ได้ ถือเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสามสิบและบริวารออกไปจากที่ดินราชพัสดุเพื่อการเกษตร ทะเบียนราชพัสดุ นม. 1689 ตำบลท่าช้าง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา และส่งมอบที่ดินแปลงดังกล่าวคืนแก่กรมธนารักษ์และโจทก์ในสภาพเรียบร้อย
จำเลยทั้งสามสิบให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้กรมธนารักษ์เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสามสิบและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ร่วมและโจทก์ในสภาพเรียบร้อย
จำเลยทั้งสามสิบให้การแก้คำร้องของโจทก์ร่วมว่า ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามสิบและบริวารออกไปจากที่ดินราชพัสดุ ทะเบียนราชพัสดุ นม. 1689 ตำบลท่าช้าง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา และส่งมอบที่ดินแปลงดังกล่าวคืนแก่โจทก์และโจทก์ร่วมในสภาพเรียบร้อยกับให้จำเลยทั้งสามสิบร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์และโจทก์ร่วม โดยกำหนดค่าทนายความแก่โจทก์และโจทก์ร่วมคนละ 6,000 บาท
จำเลยทั้งสามสิบอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามสิบฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทอันเป็นที่ราชพัสดุเพื่อการเกษตรที่ตำบลท่าช้าง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน 18 ตารางวา จากโจทก์ร่วม จำเลยทั้งสามสิบร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นเนื้อที่คนละ 90 ตารางวา โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ร่วม เป็นการรอนสิทธิของโจทก์และละเมิดต่อโจทก์ร่วม ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสามสิบออกจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์ร่วม อันเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งแม้ในคำฟ้องจะไม่ปรากฏว่าที่ดินที่จำเลยทั้งสามสิบแต่ละคนครอบครองนั้นโจทก์และโจทก์ร่วมอาจนำออกให้เช่าได้ในอัตราเดือนละเท่าใด แต่เมื่อตามสัญญาเช่าที่ดินระหวางโจทก์และโจทก์ร่วมในปี 2549 ปรากฏว่า โจทก์เช่าที่ดินทั้งหมดจากโจทก์ร่วมในราคา 450 บาท ต่อปี ดังนั้น คดีระหว่างโจทก์และโจทก์ร่วมกับจำเลยทั้งสามสิบในแต่ละคนจึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง การที่จำเลยทั้งสามสิบอุทธรณ์ว่า สัญญาเช่าที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วมไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์และโจทก์ร่วมทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยทั้งสามสิบเข้าไปปลูกไม้ดอกไม้ประดับในที่ดินพิพาทตามโครงการเฉลิมพระเกียรติของอำเภอตั้งแต่ปี 2540 อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามสิบดังกล่าวมาก็เป็นการไม่ชอบ และถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยทั้งสามสิบจึงฎีกาในปัญหานี้ต่อมาไม่ได้ ถือเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามสิบเพียงประการเดียวว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2135/2551 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า แม้คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2135/2551 ของศาลชั้นต้น กับคดีนี้เป็นคดีที่มีคู่ความรายเดียวกัน ที่ดินพิพาทแปลงเดียวกัน และมีมูลเหตุแห่งการฟ้องร้องมาจากเรื่องเดียวกัน แต่คดีแพ่งดังกล่าวซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีได้โดยลำพังเนื่องจากรูปคดีเป็นเรื่องความรับผิดของผู้ให้เช่าในกรณีมีการรอนสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 549 ประกอบมาตรา 477 ซึ่งข้อวินิจฉัยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวถือเป็นเพียงการชี้ขาดในเบื้องต้นว่า อำนาจฟ้องของโจทก์มีเหตุบกพร่องเพราะโจทก์ผู้เช่ามิได้เรียกกรมธนารักษ์ผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 549 ประกอบมาตรา 477 ที่กล่าวแล้ว โดยคดีดังกล่าว ศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นสำคัญว่า จำเลยทั้งสามสิบมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทได้หรือไม่ ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามสิบเป็นคดีนี้พร้อมทั้งขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกกรมธนารักษ์ผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในวันที่ยื่นฟ้องเพื่อขอให้ศาลบังคับขับไล่จำเลยทั้งสามสิบออกจากที่ดินพิพาทของผู้ให้เช่า จึงเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลชี้ขาดในประเด็นที่ศาลยังมิได้วินิจฉัยไว้ในคดีเดิม ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2135/2551 ของศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ดังที่จำเลยทั้งสามสิบฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามสิบฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share