คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6952/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกค่าบำเหน็จและเงินส่วนเกินตามสัญญานายหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 845 มิได้ฟ้องเรียกเอาสินจ้างจากการรับทำการงาน สิทธิเรียกร้องดังกล่าวมิได้มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไปซึ่งมีกำหนด 10 ปี ตามมาตรา 193/30

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่าโจทก์ได้รับมอบหมายจากจำเลยให้เป็นนายหน้าขายที่ดินโฉนดเลขที่ 22090 โดยจำเลยจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวในราคา 34,500,000 บาท และตกลงให้ค่าบำเหน็จแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 3 ของราคาขายหากโจทก์ขายได้เกินกว่าราคาดังกล่าวจำเลยจะยกส่วนที่เกินให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ได้ติดต่อและเข้าจัดการชี้ช่องขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายสมชาย เป็นผลสำเร็จในราคา 39,000,000 บาท แต่จำเลยไม่ยอมจ่ายค่านายหน้าจำนวน 1,035,000 บาท และส่วนที่ขายได้เกินกว่าราคา 34,500,000 บาท เป็นเงิน 4,500,000 บาท ให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 5,535,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 29 กันยายน 2537 จนกว่าจะชำระเสร็จ เมื่อคิดถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 2,158,026 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยต้องชำระคิดถึงวันฟ้องจำนวน 7,693,026 บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่านายหน้าจากจำเลยภายใน 2 ปี นับแต่วันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,140,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 29 กันยายน 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 70,000 บาท สำหรับค่าธรรมเนียมศาลที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ให้จำเลยนำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยฎีกาในทำนองว่า การกระทำของโจทก์เป็นลักษณะของการจ้างทำของซึ่งโจทก์จะต้องฟ้องเรียกร้องเอาจากจำเลยภายในอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) การที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องเงินจากจำเลยเกิน 2 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าบำเหน็จและเงินส่วนเกินตามสัญญานายหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 845 มิได้ฟ้องเรียกเอาสินจ้างจากการรับทำการงาน สิทธิเรียกร้องดังกล่าวมิได้มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไปซึ่งมีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ 2 ปี ตามฎีกาของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 40,000 บาท แทนโจทก์

Share