คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6947/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 755/2556 พิพากษายกฟ้อง โดยอาศัยข้อเท็จจริงในคำพิพากษาอาญาคดีหมายเลขแดงที่ 8368/2555 ว่า โจทก์ไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท คดีแพ่งถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขแดงที่ 8938/2558 คำวินิจฉัยดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง โจทก์ไม่อาจฎีกาว่าโต้แย้งคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งถึงที่สุดแล้วและมีผลผูกพันตนเองได้อีก
คดีมีประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยเป็นลำดับแรกว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่เมื่อที่ดินพิพาทเป็นแปลงเดียวกับที่ดินพิพาทในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 755/2556 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาแล้ว โดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวมารื้อร้องฟ้องกันอีกภายหลังจากคดีดังกล่าวถึงที่สุด จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 755/2556 ของศาลชั้นต้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท พร้อมส่งมอบที่ดินคืนในสภาพเดิม ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเดิม
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน 18 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ตลาดนัดม่วงเฒ่า หมู่ที่ 8 ตำบลองค์พระ อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี อยู่ในความดูแลของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจังหวัดสุพรรณบุรี โจทก์จำเลยเคยพิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท โจทก์เคยยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานบุกรุกต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรี โดยโจทก์บรรยายฟ้องในคดีดังกล่าวว่า โจทก์และนายสมบัติสามีจำเลยร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ที่ดินตามแบบแสดงรายการที่ดิน (ภ.บ.ท.5) หมู่ที่ 4 ตำบลสมเด็จเจริญ อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 30 ตารางวา โดยก่อสร้างห้องแถวให้เช่าและจัดทำตลาดนัดเก็บค่าเช่าพื้นที่ โดยมีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นสัดส่วนคนละครึ่ง ต่อมานายสมบัติถึงแก่ความตาย จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ต่อจากนายสมบัติ จำเลยก่อสร้างห้องแถวรุกลํ้าเข้าไปในที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครอง อันเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์โดยปกติสุข ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ศาลจังหวัดกาญจนบุรีไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 โจทก์จำเลยมีการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อระงับข้อพิพาท โดยมีการนำเจ้าพนักงานที่ดินมารังวัดและแบ่งแนวเขตที่ดินที่โจทก์จำเลยครอบครองอยู่ และในวันที่ 22 สิงหาคม 2557 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ โดยทำที่สถานีตำรวจภูธรองค์พระ อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี สัญญามีกำหนด 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2557 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2558 ต่อมาคดีอาญาดังกล่าวศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 และยกฎีกาของโจทก์ ตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขแดงที่ 11088/2557 และโจทก์ยังได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งขอให้ขับไล่ต่อศาลชั้นต้นตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 15/2556 หมายเลขแดงที่ 755/2556 ของศาลชั้นต้น โดยบรรยายฟ้องอ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเช่นเดียวกับที่บรรยายฟ้องในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8368/2555 ที่ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามกฎหมาย และที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน คู่ความเดียวกัน การพิจารณาคดีเรื่องขับไล่ในส่วนแพ่งจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8368/2555 ของศาลจังหวัดกาญจนบุรี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 755/2556 ซึ่งถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่นั้น เมื่อคดีส่วนอาญาวินิจฉัยแล้วว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอรับฟังว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท คดีแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่า โจทก์ไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาว่า โจทก์มิได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงชอบด้วยเหตุผลแล้ว ตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขแดงที่ 8938/2558 ครั้นเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2558 โจทก์ทำหนังสือถึงจำเลยสอบถามว่าจำเลยประสงค์จะทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ต่อหรือไม่ โดยขอให้จำเลยแจ้งมายังโจทก์ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2558 หากพ้นกำหนดโจทก์จะนำที่ดินออกให้บุคคลอื่นเช่า ต่อมาวันที่ 17 สิงหาคม 2558 จำเลยทำหนังสือถึงโจทก์ปฏิเสธการต่อสัญญาเช่าที่ดินพิพาท โดยจำเลยอ้างผลของคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานบุกรุก ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า โจทก์มิใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
สำหรับที่โจทก์ฎีกาว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 755/2556 ของศาลชั้นต้นไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การที่ศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 755/2556 วินิจฉัยว่าเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8368/2555 ของศาลจังหวัดกาญจนบุรี แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์เป็นการไม่ชอบ เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 755/2556 ของศาลชั้นต้น โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวด้วยได้อุทธรณ์และฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ตามลำดับ ซึ่งต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขแดงที่ 8938/2558 โดยศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ว่า “ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 บัญญัติว่า ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เมื่อคดีนี้มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ ปรากฏว่า คดีส่วนอาญาวินิจฉัยแล้วว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอให้รับฟังว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท คดีแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่า โจทก์ไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยอาศัยข้อเท็จจริงในส่วนอาญาว่า โจทก์ไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จึงชอบแล้ว…” คำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลย่อมผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งถึงที่สุดและมีผลผูกพันตนเองได้อีก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในประเด็นนี้
คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 755/2556 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 755/2556 ของศาลชั้นต้นเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยบุกรุกเข้ามาในที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ส่วนฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยเช่าที่ดินพิพาทไปจากโจทก์ เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าจำเลยไม่ยอมออกไปจากที่ดินพิพาท ประเด็นในคดีนี้จึงเป็นเรื่องฟ้องขับไล่โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าซึ่งเป็นเหตุที่เกิดขึ้นใหม่ ประเด็นในคดีนี้กับในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 755/2556 จึงเป็นคนละประเด็น ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 755/2556 ของศาลชั้นต้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่า โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ได้ให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทเพื่อเปิดตลาดนัดมีกำหนด 1 ปี ครบกำหนดตามสัญญาแล้ว จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาท ขอให้ขับไล่จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทกับเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์อยู่ในที่ดินพิพาทซึ่งตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและอยู่ในความดูแลของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โจทก์ไม่มีสิทธิแบ่งและให้เช่าที่ดินพิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ การแบ่งที่ดินพิพาทและทำสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการทำเพื่อระงับข้อพิพาทไว้ชั่วคราวระหว่างรอคำพิพากษาของศาลในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8368/2555 ของศาลจังหวัดกาญจนบุรี คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยเป็นลำดับแรกว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ หากศาลวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ เนื่องจากโจทก์อ้างความเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จึงมีอำนาจนำที่ดินพิพาทออกให้เช่าได้ โดยไม่ได้อ้างสิทธิอย่างอื่น เมื่อประเด็นที่ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นแปลงเดียวกับที่ดินพิพาทในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 755/2556 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ศาลฎีกาในคดีแพ่งดังกล่าวได้มีคำพิพากษาแล้วตามคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีหมายเลขแดงที่ 8938/2558 โดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท การที่โจทก์จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวมารื้อร้องฟ้องกันอีกภายหลังจากคดีดังกล่าวถึงที่สุด จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 755/2556 ของศาลชั้นต้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้ตกเป็นพับ

Share