คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4802/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมให้แก่สหกรณ์การเกษตร ก. แตกต่างจากสำนวนการสอบสวนของสถานีตำรวจภูธรเก้าเลี้ยวในอีกคดีหนึ่งที่กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันนำปุ๋ยเคมีปลอมมาให้สหกรณ์การเกษตร ก. ขาย แต่การกระทำความผิดในข้อหาร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมของจำเลยทั้งสองที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้กับที่พนักงานอัยการวินิจฉัยเนื้อหาสาระแห่งคดีแล้วมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องในอีกคดีหนึ่งดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดเดียวกัน มิใช่ความผิดใหม่หรือความผิดที่ต่อเนื่องกันมา เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานดังกล่าวได้ จึงต้องห้ามมิให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์สอบสวนจำเลยทั้งสองในเรื่องร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมอันเป็นเรื่องเดียวกันนั้นอีกตาม ป.วิ.อ. มาตรา 147 ถือไม่ได้ว่าการสอบสวนของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ในข้อหาร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมเป็นการสอบสวนโดยชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมตามมาตรา 120
ความผิดฐานร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมในท้องที่สถานีตำรวจภูธรเก้าเลี้ยว กับความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมที่เกิดขึ้นในท้องที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ เป็นความผิดสำเร็จในแต่ละกรรมแยกต่างหากจากกัน แม้จะเป็นกรณีความผิดซึ่งมีหลายกรรมกระทำในท้องที่ต่าง ๆ เกินกว่าท้องที่หนึ่งขึ้นไป ซึ่งทั้งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเก้าเลี้ยวและพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ต่างอาจมีอำนาจสอบสวน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 19 วรรคหนึ่ง (4) แต่การที่กรมวิชาการเกษตรแยกกล่าวโทษแต่ละข้อหาความผิดต่อพนักงานสอบสวนที่ความผิดแต่ละข้อหาเกิดในเขตอำนาจ กับมีการสอบสวนในแต่ละข้อหาความผิดแยกต่างหากจากกัน จึงมิใช่เป็นกรณีที่มีพนักงานสอบสวนหลายท้องที่มาเกี่ยวข้องซึ่งต้องกำหนดพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการสอบสวนตามมาตรา 19 วรรคสอง การที่ ก. ผู้รับมอบอำนาจจากกรมวิชาการเกษตรไปร้องทุกข์ต่อพันตำรวจตรี ค. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ในความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอม พันตำรวจตรี ค. จึงเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตามมาตรา 18 วรรคสาม การสอบสวนของพันตำรวจตรี ค. ในข้อหาดังกล่าวจึงเป็นการสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมได้ตามมาตรา 120

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ.2518 มาตรา 3, 30 (1), 32, 34, 63, 64, 72/5 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 และให้ปุ๋ยของกลางตกเป็นของกรมวิชาการเกษตร
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่ามีการผลิตปุ๋ยในท้องที่อำเภอเมืองนครสวรรค์ เพราะพบและตรวจยึดปุ๋ยที่อำเภอเก้าเลี้ยว โดยไม่มีการตรวจยึดปุ๋ยจำนวนอื่นในท้องที่อำเภอเมืองนครสวรรค์ที่อ้างว่าเป็นโรงงานผลิตปุ๋ยในอำเภอเมืองนครสวรรค์ แต่การตั้งข้อหาในคดีนี้เกิดจากการยึดปุ๋ยที่สหกรณ์การเกษตรเก้าเลี้ยว จำกัด ซึ่งอยู่ในท้องที่ตำบลเก้าเลี้ยว อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ อาจมีการผลิตปุ๋ยในท้องที่ดังกล่าวก็ได้ ถือว่าเป็นการไม่แน่ว่าความผิดฐานผลิตปุ๋ยเกิดในท้องที่ใดนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สถานที่เกิดเหตุสำหรับความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมอยู่ในท้องที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ จำเลยทั้งสองไม่อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า กรณีไม่แน่ว่าความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเกิดในท้องที่ใด จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 6 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันจึงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า เหตุความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมเกิดขึ้นในท้องที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ ส่วนเหตุความผิดฐานร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมอาจเกิดขึ้นในท้องที่สถานีตำรวจภูธรเก้าเลี้ยวก็ได้
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ไม่มีอำนาจสอบสวน เห็นว่า สำหรับความผิดฐานร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมนั้น ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า เดิมพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเก้าเลี้ยวสอบสวนและสรุปสำนวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องสหกรณ์การเกษตรเก้าเลี้ยว จำกัด กับนายเสน่ห์ ผู้จัดการ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 แต่มีความเห็นสั่งฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 3 และที่ 4 ในข้อหาร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอม ต่อมาสำนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์มีหนังสือลงวันที่ 11 กันยายน 2555 ถึงผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเก้าเลี้ยวแจ้งคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี ซึ่งอัยการจังหวัดผู้ช่วย สำนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่ โดยวินิจฉัยเนื้อหาสาระแห่งคดีว่า ที่สำนักงานวิจัยและพัฒนาการเกษตรมอบอำนาจให้นายธีรพงษ์ มาแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่ผู้ต้องหาทั้งสี่นั้น พนักงานอัยการเห็นว่าพฤติการณ์เกี่ยวกับการกระทำของผู้ต้องหาทั้งสี่ฟังไม่ได้ว่ารู้ว่าปุ๋ยเคมีของกลางเป็นปุ๋ยเคมีปลอม ถือไม่ได้ว่ารู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด ขาดเจตนากระทำผิด จึงไม่เป็นความผิด มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่ในข้อหาร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอม ตามคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ คดีนี้แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมให้แก่สหกรณ์การเกษตรเก้าเลี้ยว จำกัด แตกต่างจากสำนวนการสอบสวนของสถานีตำรวจภูธรเก้าเลี้ยวที่กล่าวหาว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันนำปุ๋ยเคมีปลอมมาให้สหกรณ์การเกษตรเก้าเลี้ยว จำกัด ขาย ก็ตาม แต่ได้ความจากพยานจำเลยทั้งสองปากนายประชา รองอัยการจังหวัดนครสวรรค์ ว่า พยานเป็นผู้สรุปความเห็นสั่งไม่ฟ้องและแจ้งคำสั่งให้พนักงานสอบสวนทราบ ตามคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ความเห็นสั่งไม่ฟ้องดังกล่าวมีฐานความผิดขายปุ๋ยเคมีปลอมในทำนองเดียวกันกับคดีนี้ แต่คดีนี้มีข้อหาร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมอีกข้อหาหนึ่งด้วย ดังนั้น จึงรับฟังได้ว่าการกระทำความผิดในข้อหาร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมของจำเลยทั้งสอง ที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้กับที่พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดเดียวกัน มิใช่ความผิดใหม่หรือความผิดที่ต่อเนื่องกันมา เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานดังกล่าวได้ จึงต้องห้ามมิให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์สอบสวนจำเลยทั้งสองในเรื่องร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมอันเป็นเรื่องเดียวกันนั้นอีกตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 147 ถือไม่ได้ว่าการสอบสวนของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ในข้อหาร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมเป็นการสอบสวนโดยชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมตามมาตรา 120 ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อหานี้ฟังขึ้น
ส่วนข้อหาร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมนั้น ข้อเท็จจริงได้ความตามรายงานสอบสวนว่า เดิมสำนักงานวิจัยและพัฒนาการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ไปร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยทั้งสองเฉพาะข้อหาร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเก้าเลี้ยว โดยไม่ปรากฏว่ามีการร้องทุกข์กล่าวโทษหรือพบการกระทำความผิดในข้อหาร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมในท้องที่นั้น พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเก้าเลี้ยวทำการสอบสวนเกี่ยวกับกระทำความผิดเพียงข้อหาร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมตลอดมาแล้วมีความเห็นเสนอต่อพนักงานอัยการ จนกระทั่งพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาดังกล่าว ระหว่างนั้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2555 นายโกวิทย์ นิติกรกลุ่มนิติการและสิทธิประโยชน์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ไปร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยทั้งสองเฉพาะข้อหาร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมต่อพันตำรวจตรีคงคณิน พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ อ้างว่าเหตุเกิดที่สถานที่ผลิตปุ๋ยเคมีของจำเลยที่ 1 ตั้งอยู่เลขที่ 88/4 หมู่ที่ 5 ถนนบรรพตพิสัย – นครสวรรค์ ตำบลบ้านแก่ง อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ตามบันทึกคำให้การร้องทุกข์ ซึ่งสถานที่เกิดเหตุดังกล่าวอยู่ในท้องที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ พฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า ความผิดฐานร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมในท้องที่สถานีตำรวจภูธรเก้าเลี้ยว กับความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมซึ่งเป็นความผิดที่เกิดขึ้นในท้องที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ เป็นความผิดสำเร็จในแต่ละกรรมแยกต่างหากจากกัน แม้จะเป็นกรณีความผิดซึ่งมีหลายกรรมกระทำในท้องที่ต่าง ๆ เกินกว่าท้องที่หนึ่งขึ้นไป ซึ่งทั้งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเก้าเลี้ยวและพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ต่างอาจมีอำนาจสอบสวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 วรรคหนึ่ง (4) แต่การที่กรมวิชาการเกษตรแยกกล่าวโทษแต่ละข้อหาความผิดต่อพนักงานสอบสวนที่ความผิดแต่ละข้อหาเกิดในเขตอำนาจ กับมีการสอบสวนในแต่ละข้อหาความผิดแยกต่างหากจากกัน จึงมิใช่เป็นกรณีที่มีพนักงานสอบสวนหลายท้องที่มาเกี่ยวข้องซึ่งต้องกำหนดพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการสอบสวนตามมาตรา 19 วรรคสอง การที่นายโกวิทย์ไปร้องทุกข์ต่อพันตำรวจตรีคงคณิน พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ในความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอม ตามบันทึกคำให้การของผู้ร้องทุกข์ พันตำรวจตรีคงคณินจึงเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตามมาตรา 18 วรรคสาม และเมื่อพันตำรวจตรีคงคณินได้ทำความเห็นตลอดมาจนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องจำเลยทั้งสอง การสอบสวนของพันตำรวจตรีคงคณินในข้อหาดังกล่าวจึงเป็นการสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมได้ตามมาตรา 120 ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อหานี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องเฉพาะความผิดฐานร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอม ส่วนความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share