คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1163/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มารดายกที่ดินให้แก่บุตรโดยบุตรออกเงินชำระหนี้จำนองแทนมารดาเพราะมารดาไม่มีเงิน แล้วมารดามอบอำนาจให้บุตรไปไถ่ถอนจำนองและทำนิติกรรมให้ที่ดินจำเลยในวันเดียวกันนั้นดังนี้ ถือว่าเป็นการให้สิ่งที่มีค่าภารติดพัน มารดาจะถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ยกที่ดินนา 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 49 ไร่1 งาน 5 วา มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) อยู่ที่ตำบลคลองคูณ อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ให้จำเลย ต่อมาโจทก์ชราทำมาหากินไม่ไหว และไม่มีเงินซื้อของกินของใช้ จึงไปขอจำเลย 200 บาท จำเลยไม่ให้ โจทก์ขอนาคืน จำเลยกลับด่าหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ขอศาลพิพากษาบังคับจำเลยให้โอนที่นาคืนให้โจทก์ ถ้าโอนไม่ได้ก็ขอให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยในการโอน

จำเลยให้การว่า ได้รับโอนที่ดินตามฟ้องโดยจำเลยได้ให้เงินเป็นค่าตอบแทนแก่โจทก์เนื่องจากโจทก์จำนองที่พิพาทไว้ โจทก์กลัวที่จะหลุดไปเป็นของคนอื่น จึงขายให้จำเลยเป็นเงิน 20,000 บาท โจทก์นำเงินไปไถ่ถอนจำนองแล้วโอนให้จำเลย จำเลยไม่เคยหมิ่นประมาทโจทก์และไม่เคยบอกปัดที่จะให้เงินโจทก์

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า โจทก์ยกที่พิพาทให้จำเลย หาใช่ตกลงซื้อขายกันดังที่จำเลยนำสืบ แต่จำเลยออกเงินชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองที่พิพาทแทนโจทก์ โจทก์จึงยกที่พิพาทให้จำเลย ถือได้ว่าเป็นการให้สิ่งที่มีค่าภารติดพันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 535ไม่ใช่เป็นการให้โดยเสน่หา โจทก์จึงฟ้องเรียกที่พิพาทคืนจากจำเลยเพราะเหตุประพฤติเนรคุณไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นตามคำให้การจำเลยเพียงว่าโจทก์ขายที่พิพาทให้จำเลยหรือไม่เท่านั้น และเห็นว่า ตามสัญญาเป็นเรื่องให้ จำเลยจะนำสืบว่าเป็นการซื้อขายไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ส่วนข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยโอนคืนนาพิพาทให้โจทก์ภายใน 1 เดือน หากจำเลยไม่จัดการ ให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำให้การจำเลย แม้จะกล่าวไว้ด้วยว่า โจทก์ขายที่ดินให้จำเลย แต่จำเลยก็ยังให้การถึงรายละเอียดต่อไปว่า โจทก์กลัวว่าที่พิพาทซึ่งโจทก์จำนองไว้กับสหกรณ์คลองคูณไม่จำกัดสินใช้จะหลุดไปเป็นของบุคคลอื่น จำเลยจึงได้รวบรวมเงินผ่อนชำระให้โจทก์และโจทก์นำเงินไปชำระหนี้สหกรณ์ฯ โดยไถ่ถอนจำนองและโอนให้จำเลยเป็นค่าตอบแทน อันเป็นการปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ได้โอนที่ให้จำเลยโดยเสน่หา หากแต่เป็นการโอนโดยมีค่าตอบแทน หรือนัยหนึ่งเป็นการให้โดยมีค่าภารติดพัน โดยจำเลยชำระเงินให้โจทก์ไปไถ่ถอนการจำนอง แล้วโอนให้จำเลยนั่นเอง ศาลจึงวินิจฉัยถึงเรื่องนี้ได้ ไม่เป็นการนอกประเด็นดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าจำเลยออกเงินชำระหนี้จำนองแทนโจทก์เพราะโจทก์ไม่มีเงิน แล้วโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยไปไถ่ถอนจำนองและทำนิติกรรมให้ที่ดินจำเลยในวันเดียวกันนั้น อันเป็นการให้สิ่งที่มีค่าภารติดพัน โจทก์จะถอนคืนการให้ไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 535 ไม่จำต้องวินิจฉัยว่า จำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์หรือไม่

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share