แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้รับโอนที่ดินจาก ส.ผู้เป็นเจ้าของเดิมชำระหนี้แก่โจทก์เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินซึ่ง ส. จำนองไว้แก่โจทก์ แต่ในการบรรยายฟ้องแทนที่โจทก์จะกล่าวถึงมูลหนี้ตามสัญญาจำนองโดยตรง โจทก์กลับกล่าวถึงมูลหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งของศาลชั้นต้น โดยระบุว่าหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดชำระให้แก่โจทก์คือ ค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืน ค่าทนายความ ค่าดอกเบี้ยและเงินตามฟ้องรวมทั้งสิ้นจำนวน 86,414.60 บาท ซึ่งผู้เป็นจำเลยคือ ต.กับพวกรวม 6 คน ทายาทผู้รับมรดกของ ส. ที่ถึงแก่กรรม ไม่ใช่จำเลยคดีนี้ การที่โจทก์บรรยายฟ้องในลักษณะดังกล่าว จำเลยย่อมไม่สามารถเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ถึงแม้จำเลยจะทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสัญญาจำนองเพราะเคยร้องขัดทรัพย์ในคดีแพ่งดังกล่าวของศาลชั้นต้น และเคยฟ้องคดีขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองดังกล่าวตามคดีแพ่งอีกเรื่องหนึ่งของศาลชั้นต้น แต่ก็เป็นการทราบเฉพาะในคดีนั้น ไม่อาจนำมาใช้ในคดีนี้ได้ จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2506 นายสม พุทธรรมสมาชิกของโจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 84 หมู่ที่ 14 ตำบลดอกคำใต้ อำเภอดอกคำใต้จังหวัดพะเยา (เดิมจังหวัดเชียงราย) เนื้อที่ 21 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้กับโจทก์เพื่อประกันหนี้เงินกู้ ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องบังคับจำนองและศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่23 กรกฎาคม 2522 บังคับให้จำเลยในคดีดังกล่าวชำระเงินตามฟ้องจำนวน 48,653.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปีจากต้นเงินจำนวน 32,850 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ชำระเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความอีก 2,000 บาทแก่โจทก์ แต่จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำนองดังกล่าวออกขายทอดตลาด จำเลยคดีนี้ได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลย ขอให้เพิกถอนการยึด ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้สิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าว รายละเอียดปรากฏอยู่ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 21/2522ของศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ 8 กันยายน 2529 จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินจำนองมาเป็นของตน จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องรับผิดต่อหนี้ตามสัญญาจำนองในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 21/2522 ดังกล่าวด้วย คิดถึงวันฟ้องหนี้ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 21/2522 ของศาลชั้นต้นมีดังนี้คือ เงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนจำนวน 316 บาทค่าทนายความตามคำพิพากษา จำนวน 2,000 บาท ดอกเบี้ยตามคำพิพากษาในเวลา 8 ปี 11 เดือน 27 วัน เป็นเงิน 35,445.15 บาท และเงินตามฟ้องอีกจำนวน 48,653.45 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 86,414.60บาท จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ดังกล่าวไถ่ถอนจำนองแก่โจทก์โจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือแจ้งบังคับจำนองไปยังจำเลยให้จำเลยไถ่ถอนจำนองภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองเป็นเงินจำนวน 86,414.60 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 32,850 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า การที่โจทก์ไม่ฟ้องตามสัญญาจำนอง ไม่บรรยายถึงสาระสำคัญและความรับผิดตามสัญญาจำนอง การคิดดอกเบี้ยตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดโจทก์จึงคิดดอกเบี้ยเกินห้าปีซึ่งมิชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหา จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 86,414.60 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 32,850 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาตามฎีกาโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายเพียงประการเดียวว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ พิจารณาคำฟ้องของโจทก์แล้วเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้รับโอนที่ดินตาม น.ส.3เลขที่ 84 หมู่ที่ 14 ตำบลดอกคำใต้ อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยาจากนายสมผู้เป็นเจ้าของเดิมชำระหนี้แก่โจทก์เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าว ซึ่งนายสมจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ แต่ในการบรรยายฟ้องแทนที่โจทก์จะกล่าวถึงรายละเอียดของมูลหนี้ตามสัญญาจำนองโดยตรง เช่น จำนวนเงินที่จำนอง อัตราดอกเบี้ยวันผิดนัดชำระหนี้ ดอกเบี้ยที่ค้างชำระและจำนวนเงินทั้งหมดที่จำเลยจะต้องรับผิด เป็นต้น อันเป็นข้อสาระสำคัญที่โจทก์จะต้องกล่าวในคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา172 วรรคสอง โจทก์กลับกล่าวถึงมูลหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 21/2522 ของศาลชั้นต้น โดยระบุว่าหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดชำระให้แก่โจทก์คือ ค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืน ค่าทนายความ ค่าดอกเบี้ยและเงินตามฟ้องรวมทั้งสิ้นจำนวน 86,414.60 บาท ซึ่งเมื่อตรวจสอบคดีดังกล่าวแล้วปรากฎว่าผู้เป็นจำเลยคือนางต่อมแก้ว พุทธรรม กับพวกรวม 6 คนทายาทผู้รับมรดกของนายสมที่ถึงแก่กรรม หาใช่จำเลยคดีนี้ไม่การที่โจทก์บรรยายฟ้องในลักษณะดังกล่าวโดยเอามูลหนี้ของจำเลยในคดีอื่นมาให้จำเลยในคดีนี้รับผิด จำเลยย่อมไม่สามารถเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ถึงแม้ว่าจำเลยจะทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสัญญาจำนองเพราะจำเลยเคยร้องขัดทรัพย์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 21/2522 ของศาลชั้นต้น และเคยฟ้องคดีขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองดังกล่าวตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 168/1531 ของศาลชั้นต้นดังที่โจทก์ฎีกา แต่เป็นการทราบเฉพาะในคดีนั้น หาอาจนำมาใช้ในคดีนี้ด้วยไม่ ฟ้องโจทก์จึงมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน